ชวนคุยเรื่องลีลาศ
version 4.1จาก 2
มารยาทในการเต้นรำ ที่ไม่มีในตำรา
วันนี้จะมาชวนคุยเรื่อง “ มารยาทในการเต้นรำที่ไม่มีในตำรา” เป็นความมารยาทเล็กๆน้อยๆที่ผมสังเกตุเห็นเวลาออกไปเต้นรำตามสถานที่ต่างๆเองเท่าที่เห็นนะครับ เรื่องมารยาทการลีลาศทั่วๆไปก็หาได้ทั่วๆไปนะครับส่วนที่ผมจะเขียนถึงคือ สิ่งที่สังเกตุเห็นในสังคนเรา ไม่มีอยู่ในตำราก็เลยเก็บมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันคือ
เวลาไปงานเต้นรำแต่ละงานให้สังเกตุดูงานนั้นว่าแขกที่มาในงานโดยเฉลี่ยเต้นรำได้ประมาณขนาดไหน ( เช่น ถ้าเป็นงานเลี้ยงของบริษัท หรือหน่วยงานราชการ เต้นคงไม่เก่งกันเท่าไหร่ พอเข้าสังคม พอสนุกกันได้ ) ถ้าเรารู้ตัวว่า คู่เราเต้นเก่งกว่า พวกเขามากๆ ( เรียกว่าฝีมือคนละระดับกันเลย) เราควรกระซิบคู่เต้นว่า วันนี้ขอแค่พองาม ไม่เต็มที่ เพราะถ้าเราเต้นเต็มที่ของเรา จะดูต่างจากคนอื่นมากเกินไป แทนที่พวกเขาจะชื่นชม กลับดูด้วยความหมั่นใส้ พวกเขาจะคิดว่าเราไม่ได้มาสนุกกับพวกเขา แต่ต้องการมาโชว์ให้พวกเขาดูมากกว่า ผมประสบกับตัวเองมาแล้วครับ งานไลออนกรุงเทพทุกคนใส่สูทหมดรวมผมด้วย แต่มีคู่เดียวเท่านั้นแต่งชุดเต้นรำเต็มยศ ฝ่ายหญิงแต่งชุดราตรี ชายแต่งเทคซิโด้ เลยเต้นอยู่คู่เดียวเลย คู่เขาจัดกันเต็มที่ คนอื่นเลยไม่กล้าลงฟลอร์ทั้งๆที่อยาก งานนั้นเลยกร่อย เพราะสนุกอยู่คู่เดียว ผมเลยอดไปด้วยเลย ทีนี้มีแต่เสียงกระซิบ "คู่นี้ตั้งใจมาโชว์แต่งตัวซะเต็มยศ ไม่ได้ดูเลยว่านี่มันงานประชุมไลอ้อน ..ไม่ใช่งานเต้นรำซะหน่อย."" อารมณ์หมั่นใส้นะครับ สำหรับผมถ้าไปงานประเภทที่คนในงานที่เต้นรำไม่ค่อยเก่ง เช่น งานต้อนรับ,งานอำลา,วันเกิด ฯลฯ ผมจะพยายามไม่ใช้ CUBAN RUMBA แต่จะเต้น Beguine แทน เดี๋ยวยักย้ายส่ายสะโพกมากเกินไปคนที่ไม่เคยเห็น คนนอกวงการ จะตกใจเต้นรำต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ ส่วนจังหวะอื่นๆก็เต้นพอเบาๆ พอเป็นสังคม แต่ถ้าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อการเต้นรำโดยเฉพาะ หันไปทางไหนก็ฝีมือฉกาจทั้งนั้นละก็ลุยให้เต้มที่ไปเลย ถ้าทำแบบนี้ได้เราจะได้เพื่อนมากขึ้นอีกเยอะเลย เช่น “เต้นรำสวยจัง” “เต้นรำเก่งนะ”เจอกันวันหลังสอนให้หน่อยนะ” มีงานหน้าจะเชิญมาอีกนะ” เป็นต้น อย่าเป็นประเภท “เต้นรำอะไรก็ไม่รู้ดิ๊กดั๊กๆน่าเกลียดเหมือนตุ๊ดเลย”(ก็พวกเขาไม่ได้อยู่ในวงการไม่เคยเห็นนี่นา) หรือไม่ก็ “อยากโชว์ไปโชว์ที่อื่นเลยที่นี่มีแต่คนเต้นไม่เป็นไม่ต้องมาโชว์ที่นี่หรอก” (นินทาด้วยความหมั่นใส้) สมัยก่อนผมมีโอกาสไปงานใหญ่ๆในกรุงเทพบ่อยๆ อย่าง ประเภทกาลาดินเนอร์ประเภทจัดการกุศลหาเรื่องให้คุณหญิงคุณนาย แข่งกันแต่งตัวออกงานสังคมว่างั้นเถอะ โต๊ะหนึ่งว่ากันเป็นแสนบัตรใบหนึ่งก็ หมื่น...สองหมื่นเป็นประเภทเสิร์ฟอาหารทีละจาน จานนึงก็เค็กก้อนเท่านิ้วก้อย กินเข้าไปยังไม่ทันเข้าปากเลยแค่ติดฟันก็หมดก้อนแล้วออกจากงานก็วิ่งหาร้านข้าวต้มรอบดึกกันเป็นแถว งานประเภทนี้ Sheๆทั้งหลายแต่งตัวสุดหรู ชุดราตรียาวประเภทเดินไปไหนก็กวาดขยะไปด้วย ทำผมทรงสูงเท่าตึก เครื่องเพชรเยอะจนอยากอุ้มกลับบ้าน (ถ้าไม่กลัวสามีเขาไล่ยิงเอา) เวลา She กลับมานั่งโต๊ะ ผมที่ทำไว้สูงๆ บางคนผมที่ทำมาเอนไปทางหนึ่ง, บางคนก็หลุดลงมาเลย เพราะอะไรหรือ ?ก็พวกครู (ที่จ้างไปนี่แหละ)ไม่ค่อยรู้กาละเทสะเท่าไหร่ (ครูคนไหนไม่ได้เป็นก็อย่าโกรธนะครับ) ไม่สนว่านี่มันงานอะไรเขาแต่งตัวกันแบบไหน เวลาเต้นรำงานหรูๆแบบนี้ ข้าจะวาดลวดลายให้เต็มที่ ( ต้อง show เยอะๆเป็นโอกาสทองที่จะหาลูกค้าไฮโซเพิ่ม ) ข้าไม่สนว่าคู่เต้นจะแต่งตัวมาอย่างไร เวลาจับหมุนทีตัวก็ครูก็เตี้ยเธอก็ทำผมซะสูงเชียว ยกแขนไม่พ้นหัวเลยหลุดออกมาทั้งยวงเลย เคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่ง สะดุดอะไรมาจากไหนก็ไม่รู้มาล้มที่แทบเท้าเรา ทั้งสวยทั้งขาวอะไรก็ไม่น่าสนใจเท่า..หน้าอกเธอหลุดออกมาทั้งยวงเลย ผมต้องตะลึงอยู่ชั่วขณะเพราะกำลังคิดว่าจะช่วยเธอ “ โกย “เก็บเข้าที่เสียก่อนดีหรือจะขอยืนดูให้อีกนานอีกสักหน่อย พอดีคู่เต้นเขา เข้ามาช่วยทันเวลาก่อนที่พลเมืองดีอย่างผมจะทำอะไรทัน..!!.เสียดาย.!!..เป็นอย่างไรครับเจอคู่เต้นที่เอาแต่มันโดยไม่ดูเลยว่านี่มันงานอะไรควรเต้นแค่ไหนพอ เอาซะสาวไฮโซของเรากระเด็นไปไหนเลย แถมมีโชว์ดีๆให้ดูอีก พูดตามตรงยังติดตาอยู่ทุกวันนี้เลย
2. อย่าใส่ของมีค่าเวลาเต้นรำ เพราะมันจะขูดขีด เวลาเหวี่ยงไปมาเป็นที่น่ารำคาญแก่คู่เต้นของเรา และที่สำคัญมันจะหลุดหายโดยไม่รู้ตัว เคยมีอยู่ครั้งนึงก็ไอ้งานไฮโซแบบที่ว่านี่แหละ เต้นแทงโก้อยู่ดีๆมีอะไรแว็ปๆวิ่งมาชนที่รองเท้าเรา อ้อ...!!!.ต้มหูนี่นาหยิบเอาใส่กระเป๋าไว้ก่อนเต้นรำเสร็จค่อยถามหาเจ้าของเม็ดไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ เพราะของพี่ที่เต้นกับเราใหญ่กว่าเยอะ ...เดี๋ยวเต้นเสร็จค่อยถามหาเจ้าของทันใดนั้นเอง ดนตรีก็หยุดลงฉับพลัน คุณ....( ไฮโซเจ้าเก่าของฟ้าเมืองไทยเอ่ยชื่อก็รู้จักทันที ) ขึ้นประกาศบนเวที “มีผู้ใดพบต้มหูของเดี๊ยนบางไหมคะ..ขอความกรุณาขอคืนด้วยคะ เพราะที่เหลือจะใช้ไม่ได้เพราะไม่ครบคู่” เราก็ยกมือขึ้นทันควัน..คุณ...คนนั้น...ก็วิ่งจู๊ดมาหาพร้อมกับขอรับตุ้มหูคืน เราก็ส่งไปให้ต่อหน้าคนทั้งงาน เธอรับตุ้มหูพร้อมกับหอมที่แก้มเบาๆเป็นรางวัลให้หนุ่มที่แสนซื่อ 1 ฟอด ( ความจริงเธอทำตัวเป็นฝรั่งจ๋าต่างหาก ไม่ได้พิศสวาทอะไรผมหรอก ) พร้อมกับกระซิปที่ข้างหูเบาๆ “ ข้างนี้ราคาตั้ง 2ล้านนะคะ ขอบคุณนะคะที่เก็บไว้ไห้” ผมอ้าปากค้างด้วยความเสียดายไม่ใช่อยากให้หอมแก้มอีกข้างหรอกนะแต่ถามตัวเองว่า “ ทำไมไม่รีบแอบกลับบ้านก่อนว่ะ “..ไอ้เซ่อ...!!!..
ท่านชายที่รู้ตัวว่าเหงื่อออกมากๆประเภทระบบเผาผลาญดีนะ แนะนำว่าเอาเสื้อไปเปลี่ยนหลายๆตัว และผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ๆ นอกจากเช็ดหน้าแล้ว ใช้เช็ดอย่างอื่นด้วย เช็ดหน้า เช็ดคอ เช็ดแขน ..ลองนึกถึงภาพเวลาเราเต้นบอลลูมซิสาวเจ้าต้องวางแขนซ้ายเธอวางบนแขนขวาของเราเวลาเต้นแล้วเหงื่อออกเยอะๆพอเธอยกแขนออกจากแขนเราเหงื่อพร้อมไคล(พูดไม่เพราะเลย) มันขึ้นเป็นขี้โคลนเป็นเส้นเลย สาวเจ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยขนลุกไปด้วย แล้วชื่อเสียงเราก็จะป่นปี้เพราะปากของเธอไปเล่าให้ชาวบ้านฟังไปอีกนานเท่านาน
3. กลิ่นตัวก็เหมือนกัน มีข้อแนะนำว่าหัดทานเปรี้ยวๆให้บ่อยๆเขาว่าจะไม่มีกลิ่นตัวเวลามีเหงื่อเท็จจริงอย่างไรขอความเห็นจากนักโภชนาการหน่อย
4. รองเท้าท่านชายขัดเสียเงาวับเลยแต่ขอบพื้นกับส้นเท้าไม่ยอมขัดเป็นขี้โคลนเลย แล้วเวลาเต้นรำอยู่บนฟลอร์คนข้างฟลอร์เขาดูเท้าเรามากกว่าหน้าเราเสียอีกลองนึกถึงภาพคล้ายๆกับว่าแต่งสูทอย่างดี รัดซะเนี๊ยบเลยทั้งเสื้อ กางเกง แต่พอมองลงต่ำ เป็นรองเท้าผ้าใบขี้โคลนเคลอะซะนี่มันเนี๊ยบไม่จริงนี่นา
5. ก่อนเต้นรำอย่าทานของคาวที่มีกลิ่นแรงๆเลยสงสารคู่เต้น เดี๋ยวดีไม่ดีจะได้เห็นเส้นขนมจีนแปะอยู่บนใบหน้าของเธอ ผู้เป็นคู่เต้นของเรา
6. ก่อนเข้าไปในฟลอร์กรุณากลืนอะไรๆที่ทานค้างอยู่ในปากให้หมดเสียก่อน ผมเคยเห็นคนเต้นรำไปเคี้ยวไปด้วย ดีนะไม่ถึงขั้นกระฉอกออกมาข้างนอก หรือไม่ก็มีเผลอเอาเล็บแคะฟันไปด้วยขณะเต้น ด้วยความเคยชินไม่รู้ตัวเห็นแล้วหมดกัน
เรื่องนี้ในวงการร้องเพลงก็เหมือนกัน ผมเคยนั่งดู คนขึ้นไปร้อวเพลง ตาลีตาลาน วิ่งขึ้นไป ดนตรีขึ้นแล้ว มือถือไมล์แล้ว ปากยังเคี้ยวอาหารอยู่เลย ในใจคิดว่าจะโทษเขาดีไหมเนียะ ก็ที่ DJ ไม่มีรายชื่อให้ลูกค้าดูว่าตอนนี้คิวใคร ดังนั้นคนต่อไปก็ไม่ทันรู้ตัวว่าคิวต่อไปนะ ถึงตัวเองแล้ว ทานอาหารเพลิน สรุปก็คือ สถานที่ที่จัดให้มีร้องเพลง ฝ่ายเจ้าของกิจการ ถ้าเป็นไปได้ก็มีรายชื่อคิวเพลงให้ลูกค้าได้เห็นสักหน่อย ถ้าเป็นไปได้นะครับ จะได้มีเวลาเตรียมตัว ส่วนตัวลูกค้าเองก็ควรหมั่นสังเกตุด้วยตัวเองด้วย เพราะสุดท้าย ความเสียหาย การเสียบุคลิก มันจะตกที่เรา
.....pjmong (pjshopcenter.blogspot.com)...........มีต่อ version 4.2...
ชวนคุยเรื่องลีลาศ version 4.2 /จาก 2 ( ต่อจาก version 1) มารยาทในการเต้นรำที่ไม่มีในตำรา
7. ข้อนี้สำคัญสุดเลย ถ้าในวงการเต้นรำคิดกันได้อย่างในข้อนี้ นักเต้นรำทั้งหลายจะรักกันมากขึ้น จะเคืองกันน้อยลง วงการนี้จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ ขออนุญาตเขียนถึงเยอะหน่อยสำหรับข้อนี้มันสำคัญ
ข้อคิดที่ว่านี้ก็คือ ไม่ว่าคนจะเต้นรำอยู่ระดับไหนก็ตาม จงอย่าติผู้อื่นว่า “ เต้นผิด” “เต้นไม่สวย”อย่างเด็ดขาด เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะศาสตร์ของการเต้นรำมันใช้ศิลปศาสตร์เป็นหลักใหญ่และใช้วิทยาศาสตร์ (static,dinamic,momentum and direction ext. ) เป็นตัวช่วยให้ใช้การเต้นรำให้เป็นศิลปะที่ไม่ทำให้ตัวเองและคู่เต้นบาดเจ็บ, เหนื่อยเร็วและเคลื่นไหวแบบถูกต้อง สวยงามหมายความว่าศิลปะศาสตร์เป็นหลัก วิทยาศาสตร์เป็นรอง (ในทุกๆกิกรรมจะมีศิลปศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ผสมกันอยู่ ขึ้นอยู่ว่า กิจกรรมอะไรมีอะไรมากกว่า เช่น กอร์ฟ ใช้วิทยาศาสตร์มากกว่าศิลป หรือ เตันรำ ร้องเพลง ใช้ศิลปศาสตร์ มากกว่า วิทยาศาสตร์ เป็นต้น)
การลีลาศในประเทศไทยเป็นการเต้นลักษณะใหญ่ๆอยู่ 2 ลักษณะ คือ
เต้นเพื่อเข้าสังคม เราเต้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้เป็นส่วนมาก เต้นแบบนี้ไม่มีใครมีสิทธิว่าเราเพราะเราไม่ต้องอิงมาตรฐานใคร ฉันเต้นตามที่ฉันชอบ ( ถ้าคู่เต้นเอาด้วยนะ และก็เต้นแล้วไม่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเกะกะรำคาญ) เต้นไปชูมือชูไม้ไป เต้นไปกางแข้งกางขาไป ก็ทำได้ไม่มีใครว่า ( ถ้าไม่กลัวใครเขาว่า บ้า หรือไม่ก็น่าเกียจ) ก็ฉันชอบของฉันแบบนี้....
แต่ถ้าจะถามว่าฉันจะเต้นแค่เข้าสังคมกับออกกำลังกาย ไม่ได้ต้องการเต้นเพื่อแข่งแล้วทำไมต้องมีเรียนด้วยละ ก็ต้องตอบว่า ถ้าคุณมีคู่เต้นของคุณเองไม่หวังว่าจะมีโอกาสใดในอนาคตที่จะเต้นกับคนอื่นเลยคุณก็ไม่จำเป็นต้องเรียน สามารถไปออกแบบ figure กันเอง ไว้สำหรับเต้นเฉพาะเรากันเองก็ได้ ขอแค่เวลาเอาไปเต้นจริงในฟลอร์อย่าไปเป็นอันตราย หรือไปรบกวนผู้อื่นก็เป็นอัน ok แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคุณจะมีเวลาและมีความรู้ขนาดสามารถออกแบบ figure ได้หมดทุกจังหวะ จังหวะละหลายๆ figure เลยหรือ ท่านทราบไหมว่า figure ทั้งหลายที่เขาออกแบบมาแล้วนั้นล้วนต้องใช้เวลาสะสม ทีละตัวๆ จากนักเต้นรำเก่งๆที่ออกแบบกันมา แล้วมาเสนอเพื่อใช้ในการแข่งกันในแต่ละครั้ง ส่วนทางสมาคม ( ที่ผู้ออกแบบผู้นั้นไปเสนอ )ร่วมกันพิจารณา เรื่อง timing (จังหวะนับ) Line (ทิศทาง) หรืออื่นๆที่สำคัญ เช่นว่ามันเป็นอันตรายต่อผู้เต้นหรือไม่จึง จะอนุญาตให้ใช้แข่งขันหรือบรรจุเป็น figure มาตราฐานได้ และ ถ้า figure ไหนที่น่าสนใจก็ขอ ( เชิงบังคับ ) ให้สมาคมเป็นเจ้าของเพื่อใช้บรรจุเป็นวิชาการของสมาคมนั้นๆต่อไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้วเราจะมาออกแบบเองทำไม เราก็เอาที่เขาทำไว้ให้และผ่านการวิเคราะห์วิจารณ์ว่าดีแล้วมาใช้เลยไม่ง่ายกว่าหรือ อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อการเต้นรำมันเป็นสากลโลก เราก็เรียน figure ของสถาบันที่ทั่วโลกเขายอมรับมากที่สุด เวลาเราไปที่ไหนที่ไม่มีคู่เต้นของเรา เราก็ Join กับเขาได้ เพราะทุกคนเรียนมาเหมือนๆกัน เมื่อเรียนจนเข้าใจแล้ว ก็ไปดัดแปลงแก้ไขเองให้มันเพี้ยน (แบบตั้งใจบนพื้นฐานว่าเราเข้าใจ มันดีแล้ว ซึ่ง บางทีก็เพี้ยนพราะไม่ตั้งใจ หรือไม่ก็เพี้ยนเพราะแอบจำเขามาแต่ไม่ได้เรียน) ไปจากตำราที่เรียนมาเพื่อหาความแตกต่าง จะเต้นให้แตกต่างจากตำรามากแค่ไหนก็ไม่มีใครมีสิทธิจะว่า เพราะมันเป็น figure ที่ฉันใช้เต้นของฉันเองไว้ใช้ออกกำลัง อีกอย่างมันง่ายสำหรับผู้สอนด้วยว่าเอาที่เขาทำไว้ให้แล้วมาสอนให้มันเหมือนๆกันทั่วโลก ไม่ต้องไปคิดออกแบบเองไว้สอนให้เสียเวลา และร้ายกว่านั้ลูกศิษย์เราไปเต้นกับคนอื่นไม่ได้ด้วย
เมื่อมันเป็นศิลปะศาสตร์ มากกว่าวิทยาศาตร์ มันไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่มีคำตอบแน่นอนว่าถูกหรือผิดศิลปะจึงไม่มีคำว่าถูกหรือผิด มีแค่ “ถูกใจ” หรือไม่เท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครมาทักเราว่าเต้นผิดก็ให้ย้อนถามกับไปเลยว่า “แล้วอย่างคุณนะถูกหรือ??”ฉันเต้นเพื่อออกกำลังกาย ฉันไม่ได้เต้นเพื่อไปแข่งที่ไหน ฉันจึงไม่จำเป็นต้องอิงมาตรฐานของใคร แต่เมื่อไหร่ที่ฉันจะเต้นเพื่อใช้แข่งเมื่อไหร่ค่อยเอามาตรฐานที่จะใช้แข่งมาคุย เรื่อง ถูก หรือ ผิด นั้นผมบอกแล้วไงว่าศิลปะไม่มีถูก ผิด มีแต่ “ถูกใจ” หรือไม่เท่านั้น อาจารย์คนไหนมีลูกศิษย์มาก มีคนมาเรียนด้วยเยอะ เพราะ เขาเต้นรำเป็นที่ “ถูกใจ” คนเป็นส่วนมากต่างหาก มันไม่เหมือนคณิตศาสตร์ไม่ว่าใครคนไหนในโลกนี้ ถ้าเอาเลข 2+3 ไม่ได้เท่ากับ 5 ไอ้คนนั้นบวกเลขผิดแน่นอน ส่วนวิชาศิลปะหรือผมยังไม่เคยเห็นว่า อ.ถวัลย์ จะพูดว่า อ.เฉลิมชัย วาดรูปผิด หรือ อ.เฉลิมชัย จะติว่าผลงานของ อ.ถวัลย์ ไม่ถูกต้องเลย ทั้งสองคนมีแฟนคลับของตัวเองแฟนคลับของ อ. เฉลิมชัย ก็พึงพอใจกับลายเส้นและ Style รูปภาพของ อ.ฉลิมชัย เฉกเช่นเดียวกับแฟนคลับของ อ.ถวัลย์ ก็ “พอใจ” ในผลงานตามแบบฉบับ (Style) ของ อ.ถวัลย์ เต้นรำก็เช่นกัน ไม่ควรที่จะมาคอยติกันว่าใครเต้นรำถูก ผิด เพราะมันจะหาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่จะตามมาคือ ความไม่พอใจเมื่อถูกใครมาติ แบบนี้มันเหมือนหักหน้ากันไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรกับใคร ฝ่ายที่ถูกติก็ไม่พอใจ ส่วนฝ่ายติก็ไม่เห็นจะได้เงินสักบาท แต่กับได้คนไม่พอใจเราเพิ่มอีกคน ถ้าคนนั้นเขามีแฟนคลับของเขาเราไปติเขากับโดนคนอีกโขยงเกลียดขี้หน้าเอา มันคุ้มกันไหมละเพราะเราไปติคนอื่นในเรื่องที่มันจะหาข้อสรุปไม่ได้ มันไม่มีใครยอมรับหรอกว่า ที่ตัวเองทำอยู่นะมันไม่สวย ไม่ถูก เรื่องนี้เจ้าตัวเขาทำแบบนี้เพราะเขาชอบมัน มันเป็น Style ของเขา ถ้าลักษณะการเต้นของเขา “ถูกใจ” คนมากก็เป็นที่ยอมรับกันมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นเต้นในลักษณะที่ “ไม่ถูกใจ”ใครเลย เพราะเจ้าตัวเขาชอบแบบนี้ ถ้าเจ้าตัวเขาไม่ได้เดินมาขอให้วิจารณ์ก็อย่าได้ไปนินทาเขาให้ใครฟังว่า” คนนี้เต้นไม่ถูก , เต้นไม่สวย” เราทำได้เต็มที่คือ ถ้าเขาเต้นไม่สวย มันไม่ถูกใจเรา เราก็ไม่ต้องไปทำตามก็เท่านั้น
ส่วนเรื่องความ ถูก - ผิด เวลาเขาเต้น figure (ลวดลาย )ก็ไม่ควรไปวิจารณ์ใครว่า ถูก-ผิด เพราะอะไรหริอครับ ก็เพราะว่าทุกย่างก้าว,ทุกอิริยาบถที่เราอยู่บนฟลอร์มันถูกต้องทั้งนั้นแม้กระทั่งถ้าสามารถยืนอยู่บนปลายนิ้วหัวแม่เท้า บนเท้าข้างเดียว (ถ้าคุณทำได้นะ)มันก็มีมาตรฐานรองรับมีชื่อเรียก เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเองว่าไอ้ที่เราทำแบบเนี๊ยะเขาตั้งชื่อมันว่าอะไร หรือแม้แต่คุณหงายท้องลงไปนอนกับพื้นถ้าใครหัวเราะเยาะคุณก็สวนออกไปเลยว่า “หัวเราะอะไร??นี่มันเป็น figure ของผม ผมออกแบบเอง มันเป็นขั้น advance ที่คุณไม่เคยเห็นในตำราของคุณต่างหาก มันน่าหัวเราะตรงไหน?” บางท่านทำตัวเป็นผู้รู้ ( ทั้งๆที่ตัวเองเต้นรำเก่งกว่าเขานิดเดียว,ศึกษาทิฤษฏีมาได้นิดหน่อย ) ก็เที่ยววิจารณ์คนอื่น ติเขาบ้าง,นินทาเขาบ้าง ใครไม่รู้เท่าทันพาลไม่กล้าเต้นรำอีกเลย
เวลาจะติ-ชมใคร ตัวเขาเองต้องมั่นใจในความรู้ของตนเองมีมากพอสมควรแล้ว “เต้นผิดมาตรฐาน” เต้นผิดตำรา”หรือจะใช้มันเป็นคำกล่าวอ้างเพื่อให้คำวิจารณ์ของตัวเองดูน่าเชื่อขึ้น
2. เต้นเพื่อแข่งขัน ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า พอเราเข้าแข่งขันกรรมการเอากฎกติกาชองสมาคมไหนเป็นกฎกติกาเป็นเกณฑ์การตัดสินในปัจจุบันของและนานาประเทศส่วนใหญ่ใช้ I.S.T.D เป็นเกณฑ์ทั้งชื่อ figure,Line,Timing หรืออื่นๆอีก ถ้าเต้นแบบนี้เพื่อจะเข้าแข่งโดยใช้มาตรฐานของ I.S.T.D ก็ต้องศึกษาตำราของ I.S.T.D อันนี้ถึงจะมีการกล่าวหากันได้ว่า ถูก – ผิด (มาตรฐานของเขา) แต่ก็มีข้อแม้ คนที่ว่านั้นก็ต้องมีคุณวุฒิและเป็นที่ยอมรับกันในวงการแต่ท่านก็ลองคิดดูในวงการเต้นรำเมืองไทยคนที่เป็นที่ยอมรับกันในวงการถึงสามารถและมาตรฐานต่างๆยังแตกต่างกันเป็นก๊ก...เป็นเหล่าเลย (เอาอีกแล้วคนไทย) ไม่รู้มีกี่สมาคมที่ลงท้ายว่า “...ลีลาศแห่งประเทศไทย...”เช่น สมาคมกีฬาลีลาศแห่งประเทศไทย สมาคมครูลีลาศแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาลีลาศมหาวิทยาลัย สมาคมกีฬาลีลาศสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ฯลฯ แล้วท่านจะให้ใครวิจารณ์ท่านล่ะว่าเต้นถูก – ผิด ก็ในเมื่อคนวิจารณ์ยังอยู่คนละมาตรฐานเลย
สำหรับผมแล้วตั้งแต่เต้นรำเป็นมายังไม่เคยวิจารณ์ใครว่าเต้นรำถูก – ผิดเลย ใครมาถามผมมักจะตอบไปว่า ถ้าเขาชอบ เขาสนุก เต้นแล้วไม่ทำร้ายตัวเอง – คู่เต้นหรือคนอื่น เขาเต้นถูกหมดแหละ แต่ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัว เต้นอย่างเนี๊ยะมันสวยไหม มันก็ขึ้นอยู่กับคนมอง คู่เต้นคู่หนึ่งที่อยู่บนฟลอร์คนหนึ่งชอบ Style การเต้นแบบนี้ เขาก็ศัทธา ชมชอบ อยากให้สอนให้ อยากเอาอย่าง เพราะมองว่าสวยดี แต่สำหรับคนอื่นเห็นอาจจะไม่ชอบ Style นี้ก็มองว่าไม่สวย ไม่ชอบ มันต่างจิต ต่างใจ ว่ากันไม่ได้ ลักษณะการเต้นของใครที่เป็นที่ยอมรับของสังคมนั้น ดูคำตอบได้จากคนนั้นก็จะได้ลูกศิษย์ไปเยอะ มีคนศรัทธาเยอะคน American ไปเต้นArgentine Tango ที่อังกฤษ คนอังกฤษบอกไม่สวย (ไม่ใช่ไม่ถูกนะถึงรู้ว่าถูกฉันก็ไม่ชอบ) ไม่ศรัทธา ไม่เรียน ทำนองเดียวกัน คนอังกฤษ ไปเต้น Tango แบบ Style อังกฤษที่ America คนที่นั่นไม่ชอบ ไม่ยอมรับ ไม่สนใจ (ก็ไม่ได้แปลว่าเต้นผิดอีกนั่นแหละ)
เพราะฉะนั้นถ้ารักกันจริงอยากอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขอย่าได้วิจารณ์ใครว่าเต้นรำผิด แม้กระทั่งสวยหรือไม่สวยก็ห้ามวิจารณ์ ถ้าทำได้เช่นนี้แล้ว ท่านว่าจะเต้นรำกันได้อย่างมีความสุข....นะครับ....(ข้อนี้ เขียนยาวหน่อยเพราะเห็นหลายคนไม่ถูกกันเพราะเรื่องที่ว่านี้เยอะ ไปที่ไหนก็เจอ เลยคิดว่าถ้าทุกคนคิดได้อย่างผม วงการนี้น่าจะอยู่กันอย่างพี่น้อง รักกัน มีความสุขกันได้เยอะกว่านี้ จะเอาอะไรกันนักหนากะอีแค่เต้นรำหนุกๆจริงไหมครับ
พูดถึงเรื่องนี้ขอพ่วงอีกหน่อย คือวงการร้องเพลง และวงการกอร์ฟ มีแบบนี้เหมือนกัน เพราะผมเล่นกิจกรรมสองอย่างนี้ด้วย เลยได้พบได้เห็นเป็นประจำ คือคนที่พยายามจะบอกทุกคนว่าฉันเก่ง ฉันโปร ก็เลยคอยติ คอยวิจารย์ คนอื่น ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้ร้องขอ ในสนามกอร์ฟ เขาเรียกคนพวกนี้ว่า "โปรข้างสนาม" ในวงการเต้นรำเขาเรียกว่า" ครูข้างฟลอร์" ส่วนในวงการร้องเพลง คงต้องเรียก " ครูข้างเวที " ดีไหมครับ..???
คราวนี้ท่านเพื่อนๆทั้งหลายคงจะเต้นรำกันอย่างสนุกและมั่นใจขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าเดี๋ยวจะมีคนมาว่า ว่าเต้นไม่ถูก ไม่สวย ส่วนคนไหนที่เคยวิจารณ์คนอื่นก็คงจะเข้าใจคนที่เขาเต้นรำได้ไม่เก่งเท่าเราว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเขารับทราบมาว่าท่านเคยนินทาเขา ( บางท่านโดนต่อหน้าเลย) ยกเว้นเสียแต่ว่า เขาเดินมาขอคำแนะนำจากเราเอง นั่นแสดงว่า style การเต้นรำของเรามัน “ถูกใจ” เขา
pjmong...(pjshopcenter.blogspot.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น