วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2560

Newvouge

  อาศัยช่วงเวลาว่างทีละนิดหัดนั่งพิมพ์ไป พิมพ์เรื่องอะไรดีละ...??? ต้องคุยถึงเรื่องที่เราพอจะรู้ แต่ละเรื่องก็ต้องลงให้ถูกกลุ่มด้วย  วิชาการงานทางวิศวกรรม  ปรัชญา หรือเรื่องเต้นรำดี..??? ...เอาเรื่องเต้นรำดีกว่า มีเพื่อนอยู่กลุ่มนี้เยอะที่สุด...
    วันก่อนมีพี่ท่านนึงไลน์มาคุยเรื่อง swing waltz นึกขึ้นได้ว่ามีบทความที่พิมพ์ค้างไว้ เลยเอามาต่อให้จบ
   เรื่องมันเริ่มต้นที่ประเทศ AUS ออสเตรเลียใกล้บ้านเรานี่แหละครับ  ได้มีการออกแบบ การเต้นรำแบบ Sequence dance หรือ Routine dance คือการเต้นรำที่มีการกำหนด figure หลายๆตัวให้เต้นต่อเนื่องกันไปจนจบ โดยให้ผู้เต้นจับคู่เต้นเรียงกันไป ให้เหมือนกันทุกคู่ โดยมีการออกแบบไว้ทุกจังหวะ จังหวะละหลายชุด แต่ละชุดตั้งชื่อเรียกกันไว้ทุกชุด การเต้นแบบนี้ให้ประโยชน์นอกเหนือจากความสวยงานพร้อมเพรียงกันแล้ว ยังง่ายต่อกรรมการ ในการให้คะแนนอีกด้วย เพราะกรรมการจะได้มีเวลาดูเกณฑ์การให้คะแนนอื่นๆโดยไม่ต้องสนใจเรื่อง การใช้ figure ของผู้แข่งขัน  เราเรียกรวมๆ การเต้นแบบนี้ว่า ""New Vouge """(นิวโวค)
        vennese waltz (คนไทยเรียก ควิกวอลซ์ และคนไทยเลือกเพลง ที่ใช้เต้นที่มีความเร็วเร็วกว่า slow waltz แต่ต่ำกว่า vennese waltz ) มี 5 ชุดคือ swing waltz (คนไทยเรียก swing waltz ตัวที่ 1) , Tracie Leigh Waltz (คนไทยเรียก swing waltz ตัวที่ 2 ),Lucille
Waltz (คนไทยเรียก swing waltz ตัวที่ 3) ,Twilight waltz ,Prama Waltz 
      slow foxtrot ซึ่งผมเคยเอาไปสอนที่ สมาคมชาวใต้มาสองปีกว่าแล้ว เชื่อว่า ครูที่นั่นหลายท่านยังจำกันได้ดี คือ
Barclay Blue ,Carousel, Excelsior Schottische,และ Charmaine
     Tango ก็มี  La Bomba, Tangoette ,Tango Terrific          
      Quick Stepก็มี Evening Three Step,Gypsy Tap
   แปลกใจตรงที่เมืองไทย นิยมเต้น newvouge แค่ 3 ตัวแรกเท่านั้น คือ swing waltz,Traciel Leigh waltz และ Lucille waltz ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมที่เหลือถึงไม่ค่อยนิยมกัน...
        เพื่อนผมเป็น ชาวออสซี่ มาเที่ยวเมืองไทย เห็นเขาเต้น  swing waltz กัน ได้ยินเขาเรียกกันว่า swing waltz 1,2,3 งง...ไปเลยครับ..!! ถามผมว่า ที่ประเทศยู มี swing waltz 1,2,3 ด้วย...!!!
    ทีนี้หวังว่าเราจะเรียกกันถูกต้องนะครับ ....pjmong..
   

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

การเต้นรำ...สุขภาพกายและสุขภาะจิต

  ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว การเต้นรำเป็นการออกกำลังกายและกำลังจิต ได้ทั้งสุขภาพกาย (pyisical health ) และสุขภาพจิต (mental heath) วันนี้เลยอยากคุยเรื่องเต้นรำ สักเรื่อง
   แบ่งตามความนิยม มีสองประเภท ใหญ่ๆ คือ
  1. มาตรฐานโลก (standard)
      1.1 ประเภท standard Ballroom (waltz, Tango, Slow Foxtrot Vennese Walt (คนไทยเรียก ควิควอลซ์),Quicstep
       1.2 ประเภท standard  Latin (Rumba (คนไทยเรียก คิวบันรัมบ้า), Cha-Cha,Samba,Paso Double', jive
2. เบ็ดเตล๊ด
  

วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

ลีกวนยูอีกที

คิดแบบภาววิทย์ 6

ตอน หลักการสร้างเครื่องผลิตเงินของ ลีกวนยู “ผู้นำสูงสุดตลอดกาลของสิงคโปร์”

ประเทศสิงคโปร์นับเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เติบโตเร็วมาก เพิ่งประกาศแยกตัวจากมาเลเซียเมื่อปี 1963 ก็ประมาณ 50 กว่าปีที่แล้ว ถ้าเทียบก็เป็นคน ก็ยังแค่วัยกลางคนเท่านั้นเอง

..พูดง่ายๆว่า ตอนที่ธนาคารกรุงเทพในบ้านเราก่อตั้ง ประเทศสิงคโปร์ยังไม่เป็นวุ้นเลย แต่วันนี้ประเทศสิงคโปร์กลายเป็น Financial Hub ศูนย์กลางทางการเงินของที่สำคัญของโลก มีธนาคารและสถาบันการเงินที่ใหญ่ระดับโลก แถมยังเป็นศูนย์กลางในการบริหารความมั่งคั่ง Wealth Management Center

สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นที่สิงคโปร์ต้องยกความดีความชอบให้ “ลีกวนยู” ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น บิดาแห่งประเทศสิงคโปร์ เขาเป็นนักการเมืองที่หัวคิดก้าวหน้าผู้วางรากฐานและระบบเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของประเทศสิงคโปร์ทั้งหมดเลยก็ว่าได้

..ครับ!! พอดีผมได้มีโอกาส ปัดฝุ่น Shelf หนังสือ ก็พบว่า มีหนังสือเล่มนึง ที่เขียนโดย ลีกวนยูเอง วางอยู่ในชั้นหนังสือของผมจนฝุ่นจับ เพราะสารภาพตรงๆ เดี๋ยวนี้ซื้อหนังสือแทบไม่เคยอ่านเล่มไหนจบเลย เพราะไม่มีเวลา หนำซ้ำ มีหนังสือใหม่ๆ ออกตลอดเวลา

..หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า From Third World to First ..มันเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก เพราะลีกวนยู ได้เขียนถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง เกี่ยวกับการสร้างสิงคโปร์ตั้งแต่การวางอิฐก้อนแรกกันเลยทีเดียว

“ศึกษาอดีตแล้ว เห็นอนาคต” เรื่องนี้จริง เพราะทุกอย่างสอนเราว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ..วันก่อนผมเอาหนังเรื่อง The Godfather มาดูใหม่ ชอบประโยคที่เขาบอกว่า “If you Look at History, nothing is impossible” มันเป็นคำพูดที่ Godfather พูดกับลูกน้องถึงการลอบสังหารศัตรูตัวสำคัญ ซึ่งลูกน้องบอกว่า “เป็นไปไม่ได้”

..แต่ถ้าดูจากอดีต ขนาด John F Kennedy ประธานาธิปดี ประเทศอเมริกาที่ได้ชื่อว่ามีระบบ รักษาความปลอดภัยสูงที่สุด ยังโดนลอบสังหารได้เลย ...นั่นแหละ อดีตมันสอนเราจริงๆ ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ..อ้าว!! จะฆ่าใครต่อดีล่ะ

กลับมาที่หนังสือ From Third to First ของลีกวนยู นับเป็นหนังสือ ที่เรียงร้อย ถ่ายทอดประวัติความเป็นมาของเศรษฐกิจเอเชียได้ครบถ้วนที่สุด เพราะถ้าว่ากันจริงๆ ไม่เคยมีผู้นำคนใดที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดได้นานเท่าลีกวนยู

..เขานำพรรค PAP “People’s Action Party” ชนะการเลือกตั้ง 8 สมัยติด ตั้งแต่ปี 1959 – 1990 หลังลงจากตำแหน่ง พรรค PAP ก็ยังคงครองเสียงส่วนใหญ่ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งจนถึงปัจจุบัน ซึ่งวันนี้เขาก็ยังเป็นที่ปรึกษาอาวุโส ผู้มีอำนาจหลังม่านตัวจริงอยู่ดี

สิ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ ในแนวคิดของลีกวนยูมากๆ คือ เรื่องของการสร้าง “เครื่องผลิตเงิน” นั่นคือ นโยบายการตั้ง CPF “Central Provident Fund” เรื่องนี้ ลีกวนยูเล่าว่า ระหว่างพัฒนาประเทศเขาพบว่า มันเริ่มมาถึงจุดที่ประเทศเริ่มมีความแตกต่างมากๆ กล่าวคือ คนรวยจะรวยมาก และ คนจนยิ่งจน เพราะตามการพัฒนาไม่ทัน

...จุดนี้เองเป็นช่วงที่ ระบอบคอมมิวนิสต์เริ่มเข้ามาท้าทายการปกครองของเอเชียในห้วงเวลานั้น ..คือ หลายๆ ประเทศกำลังเลือกว่า จะไปทาง ทุนนิยมประชาธิปไตย หรือ จะมาทางสังคมนิคม คอมมิวนิสต์ ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน (แบ่งเท่ากันจริงหรือ)

สิงคโปร์เลือกระบบทุนนิยม แต่ใช้รัฐบาลซึ่งลีกวนยู แทบจะมีอำนาจเบ็จเสร็จในการกำหนดทิศทางของประเทศในการขับเคลื่อนนโยบาย

...เรื่องของการสร้างเครื่องผลิตเงิน ก็คือ การตั้ง CPF แล้วให้ทุกคนที่มีรายได้ ต้องส่งเงิน 20% เข้ากองทุน CPF แล้วก็กำหนดให้นายจ้างต้องสมทบเงินเพิ่มอีก 16% รวมเป็นเงินประมาณ 36% ของรายได้ของคนในสิงคโปร์ที่มีงานทำ จะต้องนำเข้าบัญชี CPF หรือ Central Provident Fund

กองทุน CPF จะทำหน้าที่เป็น “กองทุนส่วนบุคคลที่ใช้ในการลงทุน เพื่ออนาคต” โดยที่ทุกคนสามารถเลือกได้ว่า จะแบ่งลงทุนใน Asset ต่างๆ อะไรบ้าง ตั้งแต่ บ้าน , หุ้น และ กองทุนต่างๆ ...ถ้ามองในมุมมองนักลงทุน จะเห็นเลยว่า มันเป็นการกระตุ้นโดยรัฐบาลให้ ประชาชนสร้างเครื่องผลิตเงินของตัวเอง ซึ่งส่วนนึงที่สำคัญก็คือ นโยบายนี้สร้างให้คนมีบ้านเป็นของตัวเอง เพราะคนส่วนใหญ่ก็ใช้กองทุนนี้ซื้อบ้าน ..ถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น มันได้สองเด้ง เพราะ คนที่มีภาระมันทำให้เขาต้องสู้ทำงานหนัก และ เด้งที่สองคือ เมื่อคนเรารู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของอะไรก็ตาม เราก็จะรู้สึกว่า เขามีอะไรที่จะต้องดูแล --- “เสียไม่ได้!!”

ใช่!! เมื่อคนเรามีอะไรจะเสีย เขาจะไม่อยากเสีย ...คิดดูนะครับ ถ้าทุกคนมีบ้าน มี Asset ที่ตัวเอง สั่งสมมา แปลว่า คนๆนั้นมีอะไรที่จะเสียไม่ได้ ดังนั้น เขาจะไม่ออกมานั่งชุมนุมเรียกร้อง เสรีภาพ ...ฮ่า ฮ่า เอ๊ะ!! แล้วบ้านเราทำไมมีคนออกมาชุมนุมเรียกร้องนุ่นนี่มากมาย ..ครับ!! ก็เพราะเขาไม่มีอะไรจะเสียน่ะซิ
...
การที่ประเทศจะรวยและสงบสุข ทุกคนต้องท้องอิ่ม และ มีความมั่งคั่งที่เพียงพอ ...วันนี้เมืองไทยเราเริ่มเห็นนโยบาย กระตุ้นให้ มนุษย์เงินเดือนเป็นนักลงทุน อย่าง RMF / LTF แต่ความรู้ของคนในเรื่องการลงทุนในบ้านเรา ยังต้องพัฒนามากกว่านี้ ...ฝากเรื่องการสร้างเครื่องผลิตเงินของตัวเองให้คิดกันนะครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สองผู้นำที่แตกต่าง

คิดแบบภาววิทย์ 7

ตอน “กัดดาฟี ปะทะ ลีกวนยู”

วันนี้เราเริ่มเห็นกระแส การเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆของประเทศ ทั้งการเมือง และ เศรษฐกิจ ..สองประเทศที่ เห็นความแตกต่างอย่างบ้าคลั่ง เห็นจะเป็น สิงคโปร์ กับ ลิเบีย

ปี 2012 หมอดูไทย ต่างฟันธงว่า จะเกิดปราฏการณ์ผู้นำเผด็จการเสียชีวิตกันแบบใบไม้ล่วง ...เราเห็นการจากไปของ กัดดาฟี , คิม จองอิว , บินลาเดน , ฮูโก ชาเวส ..และ การเปลี่ยนแปลงของ อาหรับสปริง “Arab Spring” ที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมาท้าทายอำนาจของผู้นำเผด็จการ

....ทั้งหมดผมว่า ผู้นำเหล่านี้ควรจะเรียนรู้อะไรบ้างจาก ลีกวนยูแห่งสิงคโปร์

ถ้าพูดถึง ลีกวนยู จะว่าเขาเป็นเผด็จการประชาธิปไตยก็น่าจะได้ เพราะปกครองประเทศยาวนานเกิน 40 ปี คล้ายกับ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ..ซึ่งทั้งสองผู้นำคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และ การทหาร

..แต่ความต่าง คือ ความเจริญของ ลิเบีย กับ สิงคโปร์ ต่างกันสุดโต่ง ทั้งที่ประชากรเท่ากัน และ ถ้าเทียบกันตรงๆ จะเห็นเลยว่า ลิเบียได้เปรียบสิงคโปร์ เพราะลิเบีย มีน้ำมัน และ ทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล แต่กลายเป็นว่า คนลิเบียจน ประเทศก็ไม่ค่อยพัฒนา

ในอีกมุม หากเอาทรัพย์สินของผู้นำมาเปรียบเทียบ เราเห็นเลยว่า กัดดาฟีและครอบครัว มีทรัพย์สินในครอบครองกว่า $ 200 Billion ..ประมาณว่า ถ้า Forbes รวม กัดดาฟี มาด้วยในการจัดอันดับก่อนเขาตาย ..กัดดาฟี ก็คือ คนที่รวยที่สุดในโลก

...แต่ประเด็นมันน่าสนใจตรงที่ ลีกวนยู ทั้งที่ปกครองประเทศยาวนานเหมือนกัน และ คุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ลีกวนยู ไม่เคยถูกจัดอันดับว่า ร่ำรวยมหาศาล

“คุณว่าอะไรคือ Wealth ที่แท้จริง ...ตัวเลข หรือ อย่างอื่น !!”

หนึ่ง ตัวเลข ในบัญชีธนาคารของผู้นำเผด็จการ ที่สุดท้ายอเมริกา ก็มายึดคืน จากกัดดาฟี แบบหน้าตาเฉย โดยอ้างว่า ทรัพย์สินที่ได้มามันคือ การโกงจากประชาชน แต่ถ้าคิดดีๆ ทุกบาท ทุกสตางค์ที่กัดดาฟีได้มา มันคือ การขายทรัพยากรของประเทศลิเบีย ดังนั้น ถ้ามีการยึดคืนเงินของกัดดาฟี เงินนั้นควรคืนกับประเทศลิเบียจะถูกต้องกว่า ...

สอง ลีกวนยู ถูกขนานนามว่าเป็น บิดาแห่ง สิงคโปร์ เพราะสร้างทุกอย่าง ...ปัจจุบันพรรคการเมืองที่ ลีกวนยูตั้ง ยังคงคุมกอำนาจรัฐ แถมผู้นำคนปัจจุบันของสิงคโปร์ก็คือ ลีเซียงลุง ลูกชายของ ลีกวนยูนั่นเอง ...แปลง่ายๆ ว่า ตระกูลลี ในปัจจุบัน ก็ยังคงควบคุมทุกอย่างของสิงคโปร์แบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ได้สนเลยว่า ตัวเลขในบัญชีของเขาเองจะเป็นเท่าไหร่

กรณีที่หนึ่ง เหมือนเอาทุกอย่างเข้าตัว แต่ผลสุดท้ายคือซวย เพราะเสียทุกอย่าง ...ส่วนกรณีที่สอง ของลีกวนยู มันเหมือนเขาทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น แต่สุดท้ายเขากลับได้ทุกอย่าง

ถ้าจะแปลกลยุทธ์ของ ลีกวนยู ให้ฟังดูเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “Win – Win” ซึ่งมองยังไงตัวลีกวนยูเอง กลับได้รับทุกสิ่ง เพราะคนๆนึง ถ้าจะมองความสำเร็จ ก็คือ ตัวเขามีความสุข และ ทายาทของเขาก็ประสบความสำเร็จ ..ทุกโจทย์ดูเหมือนจะตอบได้ดีหมด

จริงๆ ถ้าจะเอา ประเทศสิงคโปร์ กับ ลิเบีย มาเทียบกัน และเอา ลีกวนยู กับ กัดดาฟี มาเทียบกัน มันสามารถมองได้หลายมิติมากๆ ...เพราะมันเป็นอะไรที่สุดโต่งคนละขั้ว แต่ที่ต่างกันแบบสุดๆ ก็คือคนนึง มองได้กว้างกว่าอีกคนนึง ก็เท่านั้นเอง

ผมว่าสุดท้าย การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน มันคือ การที่ต้องทำให้ทุกคนมีความสบายกาย และ ความสุขใจที่เพียงพอ รวมทั้งการสร้างให้คนทุกคนรู้จักสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตัวเอง ซึ่งประเทศเองก็ต้องมีกฏหมายและนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างและเก็บสะสมความมั่งคั่ง

...แก่นที่สำคัญในการยกระดับชีวิต สุดท้ายก็กลับมาเรื่องของการศึกษาอยู่ดี เพราะ วันนี้ถ้าเรามองสิงคโปร์จะเห็นเลยว่า เขาเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมและประมงจนๆ มาเป็นอุตสาหกรรม และ สุดท้ายก็เปลี่ยนจากอุตสาหกรรม มาเป็น บริการ Service Industry ในที่สุด

วันนี้โลกเรามีแรงงาน และ เครื่องจักรเพียงพอในการทำอาชีพเกษตรกรรม และ อุตสาหกรรมเบื้องต้น ที่รายได้ต่ำ

..การเพิ่มความรู้ และ เทคโนโลยีการผลิต จะทำให้ผลิตผลในสินค้าอุปโภคบริโภค ถึงมือลูกค้าในต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อยๆ

...อนาคตของการสร้าง Wealth จึงอยู่ที่การศึกษา และ การบริการ การสร้างธุรกิจ ที่ใช้ความคิดเป็นที่ตั้ง

...อ้าว!! แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหนล่ะ ?

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

เอดิสันกัยเทสล่า

     อยากคุยเรื่อง เอดิสัน กับเทสล่า หน่อยครับ เท่าที่รู้มา(ไม่ทราบจริงเท็จประการใด ผิดตรงไหนช่วยบอกด้วยครับ ไม่ว่ากัน เพราะไม่สำคัญอะไรมาก) ว่ากันว่าสมัยเอดิสัน กำลังพัตนาไฟฟ้ากระแสตรง เพื่อนำมาใช้ในระดับเมืองให้ใช้งานได้จริง ถึงขนาดมีการนัดหมายกับสภาเมือง ถึงกำหนดการแสดง ไฟฟ้ากระแสตรง กับหลอดไฟที่คิดค้นขึ้น เพื่อทดแทนตะเกียงน้ำมันซึ่งตอนนั้น ตะเกียงกับน้ำมันทำคนให้เป็นมหาเศรษฐีมายาวนาน ตั้งแต่ขุดพบน้ำมัน ก่อนวันกำหนดการแสดงไฟฟ้ากระแสตรงของเอดิสัน เทสล่าซึ่งเป็นลูกน้องทำงานวิจัยมากับเอดิสันมานาน ก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ เอดิสัน หันมาสนใจพัตนาไฟฟ้ากระแสสลับน่าจะดีกว่า แต่เนื่องจากเอดิสันติดกับตัวเอง เชื่อมั่นว่าไฟฟ้ากระแสตรงนั้นดีที่สุดแล้ว และยังคงเสี่ยงลงทุนต่อไป ถึงตอนนี้แล้ว ผมลืมว่าเทสล่าลาออกหรือโดนไล่ออกกันแน่ เอดิสันก็ยังคงเชื่อมั่นและหาคนร่วมทุนเสนอไฟฟ้ากระแสตรงใช้ในเมืองต่อไป ส่วนเทสล่าต้องออกมาหานายทุนเพื่อพัตนาไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อใช้ในระบบเมืองเช่นกัน จากคนร่วมมือกันกลับกลายเป็นคู่แข่งกันไปซะยังงั้น ต่อมาเทสล่าได้ผู้สนับสนุนพัตนาไฟฟ้ากระแสสลับ เพื่อใช้ในระบบใหญ่ได้ จนมีการโจมตีกันระหว่างสองฝ่าย โดยเอดิสันอ้างว่าไฟฟ้ากระแสสลับของเทสล่านั้นอันตรายเพราะใช้แรงดันสูง ถึงขนาด เอดิสันยอมเอาช้างทั้งตัวมาให้ไฟฟ้ากระแสสลับช็อตจนตาย เพื่อดิสเครดิตไฟฟ้ากระแสสลับ ของเทสล่า ส่วนเทสล่าก็โจมตีว่าไฟฟ้ากระแสตรง เกิดการสูญเสียมากมาย ไม่สามารถนำไปใช้ได้จริงในระดับประเทศแต่ไฟฟ้ากระแสสลับสามารถทำได้ แม้แต่ใช้แรงดันสูงก็สามารถใช้ให้ปลอดภัยได้  สุดท้ายเทสล่าผู้เคยเป็นลูกน้อง ได้ความรู้ด้านวิชาการไฟฟ้ามาจากเอดิสัน กลับกลายเป็นผู้สำเร็จ ไฟฟ้ากระแสสลับได้รับการพิจารณาให้ใช้เป็นพลังงานหลักในระดับชาติ แต่ไฟฟ้ากระแสตรงของเอดิสันขายได้แค่กรมราชทันฑ์ให้ผลิตเครื่องประหารนักโทษ ของกรมราชทันฑ์เท่านั้น..ความจริงนักประดิษฐ์ทั้งสองคนได้สร้างผลงานที่เป็นคุณประโยชน์อย่างอื่นไว้อีกมากมาย แต่ผมไม่ขอกล่าวถึง..แต่ประเด็นที่อยากนำมาเป็นข้อสังเกตุจากที่เกริ่นไว้ครั้งก่อนว่า สิ่งที่นักประดิษฐ์กลัวอย่างหนึ่งจนไม่อยากพบใคร ไม่อยากเล่าให้ใครฟังว่าตัวเองกำลังทำอะไรอย่างไร ก็อาจเกิดความระแวงกลัวจะเกิดแบบกรณีย์เอดิสันกับเทสล่าก็เป็นได้ แต่ที่ผมอยากเจออยากนัดหมายนั้นก็จะบอกว่าเราจะไม่คุยเรื่องผลงานของแต่ละคน แต่เราจะคุยถึงเรื่องทั่วๆไปที่จะทำให้เราหลุดพ้นดจากทางตัน เพื่อวิ่งเข้าหาความสำเร็จครับ..
    อีกเรื่องที่อยากตั้งข้อสังเกตุคือ การเป็นนักประดิษฐ์นั้น ความจริงของมันคือ เราไม่ได้สร้างผลงานแค่ชิ้นเดียว เราสร้างชิ้นหนึ่งมักจะเอาหลักการของชิ้นหนึ่งไปคิดค้นได้อีกชิ้นหนึ่ง เสมอ และเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเราสังเกตุดู นักวิทยาศาสตร์ทุกคนในอดีต ไม่มีใครเลยที่มีผลงานแค่ชิ้นเดียว ทุกคนมีผลงานหลายชิ้นเสมอ แต่น่าเสียดายที่สมัยก่อน ไม่มีกฏหมายสิทธิบัตร ไม่งั้นเทสล่าผู้น่าสงสารคงไม่ตายคนเดียวโดดเดี่ยวในห้องจนไม่มีใครรู้ว่าตายตั้งแต่เมื่อไหร่ ตายพร้อมหนี้สินมากมาย ทั้งๆที่ผลงานเทสล่ามีค่าอนันต์แก่คนรุ่นหลัง เช่น อุปกรณ์ไร้สาย(wireless communication), ควบคุมระยะไกล(remote control),ทฤษฎีของเรดาห์,หลอดไฟฟลูออเรสเซ็น(หลอดเรืองแสง ) , ขอลวดเหนี่ยวนำจากแม่เหล็ก...ทุกอย่างในสมัยนั้นที่เทสล่าคิดค้นขึ้น มาสร้างใช้งานได้มากมายในปัจจุบัน ....pjmong..

วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560

3 พัตนา ไปด้วยกันจนวันสุดท้าย...

    3 พัตนา เรื่องคู่กาย..ไปจนถึงวันนั้น....

   อยากคุยเรื่องนี้มานานแล้ว วันนี้ตื่นเช้า นั่งทานกาแฟไป ก็นั่งพิมพ์ไป ระบายออกไปบ้าง ....
    ในชีวิตคนเรา มี 3 ช่วง คือ วัยเรียน วัยทำงาน และวัยพักผ่อน แต่เชื่อเหอะ..ทั้งสามวัย ต้องมีอย่างน้อยพัตนาการ 3 อย่าง ถ้าใครพัตนา 3 อย่างนี้ไปได้พร้อมๆกัน รับรองว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จ มีความสุข บนร่างกายที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่เยี่ยมยอดเลยละครับ
   พัตนา 3 อย่างที่ว่านี้คือ.....
   1. พัตนาทางวิชาการ ที่ต้องใช้ ทำมาหากิน สร้างความมั่นคง หมายถึงวิชาการต่างๆที่เราใช้ทำมาหากิน เราต้องเรียนรู้ เพิ่มทักษะให้มากขึ้นทุกวัน รายได้ก็จะมากขึ้น จะรวยขึ้นมั่นคงขึ้น อยากกินได้กิน อยากเที่ยวได้เที่ยว อยากซื้อได้ซื้อ....เรื่องนี้สำคัญที่สุดใน 3 อย่าง และ คุยกะใครไม่ได้เพราะ วิชาชีพ หรือเรื่องที่ทำงานเอามาคุยกับเป็นอะไรคนอื่นที่ส่วนตัวคุยกับคนอื่นไม่ได้เสียด้วย แบบว่าตัวใครตัวมัน ต่างอาชีพกัน มักจะคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง  สังเกตุไหม..? เราทำกิจกที่ร่วมร้องเพลงเต้นรำด้วยกันมาหลายปี ไม่ค่อยคุยกันเรื่องงานสักเท่าไหร่ ว่าใครทำอะไรที่ไหน อยากรู้เป็นห่วงเหมือนกัน แต่เรื่องวิชาชีพ มันเป็นเรื่องของความชำนาญของแต่ละคนนะ เล่าให้ฟังก็มักจะไม่ค่อยจะรู้เรื่อง .รู้กันแค่คร่าวๆว่าใครทำอาชีพอะไร ที่เหลือก็ตัวใครตัวมัน....สำหรับการพัตนาทางวิชาการนี้ สมองซีกซ้ายของเรารับผิดชอบ ครับ สมองซีกซ้ายว่าด้วยเรื่องวิชาการ เหตุผล ฯลฯ
  2. พัตนาสุขภาพจิต ว่าด้วยเรื่องอะไรที่ทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี สดใส คิดบวก ไม่หดหู่  ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็คือ การร้องรำทำเพลง งานศิปะที่ชอบ หรือการนั่งสมาธิ ก็รวมอยู่ในข้อนี้ เรื่องนี้ สมองซีกขวา ทำหน้าที่ครับ สมองซีกขวาว่าด้วยเรื่องศิลปะ แนวๆอย่างที่ชอบ ฯลฯ
     เซลสมองทั้งสองซีกควรได้รับการพัตนา ได้ออกกำลังไปพร้อมๆกันครับ จะได้ฟูเท่าๆกัน เพื่อนผมคนนึง เป็นนักวิชาการตัวยง ใส่แว่นหนาเตอะ ตำแหน่งงานใหญ่โต แต่ร้องเพลงทีไรเพื่อนวิ่งหนี เล่นกีฬาไม่เป็น เต้นรำไม่เป็น ไปเอ็กเรย์สมอง สมองด้านซ้ายฟูเต็มกระโหลก ส่วนด้านขวา ห่างกระโหลกเป็นเซ็นเลย แสดงว่า แบวศิลปะไม่เอาเลย เห็นการใช้ชีวิตแบบไม่สมดุลย์ไหมครับ..??
   3. พัตนาสุขภาพกาย อันนี้ว่าในเรื่อง physical คือร่างกายภายนอกที่สัมผ้สได้ ที่ต้องแข็งแรง ทนทานต่อการเจ็บใข้ได้ป่วย หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้พอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นโทษ การทำงานมาก ออกกำลังมาก แต่พักผ่อนน้อย หรือ ทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เดี๋ยวจะเหมือนโรคยอดนิยมสมัยก่อน คือ ไหลตายนะครับ คือหลับแล้วไม่ตื่นเลยเครื่องมันน็อคไปเองนะครับ
   สองข้อหลัง เป็นกำลังสนับสนุนข้อ 1  ถ้าหนึ่งในสองหรือทั้งสอง ไม่แข็งแรง ก็มีผลถึงข้อหนึ่ง ถ้าข้อหนึ่งทำงานได้ดี ก็มีเงินมีทองมาสนับสนุนสองข้อหลัง คงปฎิเสธไม่ได้นะครับว่า ออกไปร้องเพลงเต้นรำต้องใช้เงิน ใช้เยอะเสียด้วยซิ ออกไปเล่นกีฬา ก็ต้องใช้เงิน เงินที่เราหาได้จากข้อ 1 ต้องเอามาจุนเจือกิจกรนมสองข้อหลัง หรือ ถ้าเครียดหรือป่วยไขัก็ออกไปทำมาหากินไม่ได้เหมือนกัน  สามอย่างนี้มันพึ่งพากันและกันอยู่อย่างเหนี่ยวแน่น เราจึงต้องพากันไปพร้อมๆกันไงครับ....ถามตัวเองหรือยังครับว่าเราจะเลือกกิจกรรมอะไรที่จะให้เป็นเพื่อนคู่กายเราไปเพื่อการพัตนาแต่ละตัวทั้งสามตัวนี้ ....เลือกที่เหมาะกับเราให้มากที่สุด โดยดูจากปัจจัยของตัวเราแต่ละคน.....สำหรับผม จบวิศวะมา ข้อหนึ่งจึงหนีไม่พ้นเรื่องแนวๆนี้ งานหมู่บ้าน งานวิศกรรม งานบนเน็ต สามตัวนี่เปลืองสมองของจริงเลยครับ ข้อสองนี่เรื่องบำรุงสุขภาพจิต ก็ด้วยวัย ด้วยโอกาสและความชอบก็เหลือร้องกับเต้น ละครับ ส่วนเรื่องสุดท้ายกีฬาให้ร่างกายแข็งแรง ต้องเลือกกีฬาที่มีแรงกระแทกต่ำ บู๊เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วต้องถนอมข้อต่อต่างๆไว้ใช้นานๆ ก็เหลือแค่ กอร์ฟกับเต้นรำ เชื่อไหมครับว่า..? ถ้าเราเล่นกีฬาสม่ำเสมอ มันจะมามีผลต่อความสามารถเรื่องเต้นรำด้วย คือถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรง ข้อต่อต่างๆแข็งแรง เราจะเต้นรำได้สวยขึ้น คม กระชับขึ้น ควบคุมการเคลื่อนไหวได้ต่อเนื่งสวยงาม  นึกภาพตัวเองดูนะครับ แต่งตัวสวย เต้นรำลื่นไหลสวยงาม...perfect...!!!
  เห็นไหมครับ ?? ทำไมผมเชียร์ให้คนมาเต้นรำกันเยอะๆ เพราะมันเป็น 2 in 1 คือทำ 1 ได้ 2 ได้ทั้งสุขภาพจิตและร่างกายแข็งแรง เพราะออกกำลังกายเคล้าเสียงดนตรี บอกได้เลยว่าใครชอบเต้นรำนะมาถูกทางแล้ว สุขภาพจิตดีด้วยร่างกายแข็งแรงด้วย ของแถมคือมีโอกาสแต่งตัวสวยๆหล่อๆ อยู่ในสังคม ในขณะที่คนกิจกรรมอื่นต้องแต่งชุดกีฬาอยู่ในสนาม ไม่ได้ไปสังคมที่ไหน..ออกกำลังเสร็จต้องรีบกลับบ้าน ใครจะใส่ชุดกีฬาไปเที่ยวต่อที่ไหนได้ละครับ.?? ไม่เหมือนชุดเต้นรำนี่..!!..ขอแถมอีกสักข้อก่อนจาก..ไม่มีกีฬาชนิดไหนที่ให้คนสูงวัย หมุนบ่อยๆขนาดนี้ นี่เป็นข้อได้เปรียบอีกข้อหนึ่งของคนสูงวัยที่เต้นรำ ไม่มึนงงง่าย ไม่ล้มง่าย เพราะร่างกายชินกับการหมุนบ่อยๆอยู่แล้ว
      ลองจัดตัวเองให้เข้าที่ .เลือกที่เหมาะ..แล้วจัดไป....จะได้มีความสุขกับตัวเองจนถึงวันนั้น....ขอให้มีความสุขกีบชีวิตดีๆนะครับ...pjmong...