วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

แก้โรคหินปูน

กินน้ำลูกเดือยเพื่อสุขภาพ

#หินปูนหรือกรดยูริกสะสม ถ้าท่านเคยมีประวัติกินสัตว์ปีกซึ่งเป็นสารอาหารที่มีเพียวลีนสูง  อย่างเช่น เป็ด ไก่ ห่าน สัตว์ปีกทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ผักที่มีกลิ่นฉุน ยอดผัก รวมถึงผักยอดนิยม อย่างเช่นคะน้า กะหล่ำปลี บรีอคโคลี่ แตงกวาและข้าวกล้อง รู้ไหม ข้าวกล้องหรือน้ำข้าวกล้องงอก อันดับหนึ่งเลยนะ คนมักจะกินข้าวกล้องโดยหวังผลว่าจะได้วิตามิน แต่สิ่งที่เป็นภัย ของเสียที่มากับข้าวกล้องไม่มีใครบอก เขาจะบอกแต่ด้านดีว่าบำรุงสมอง มีสารกาบาอะไรอย่างนี้ แต่ข้อเสียของข้าวกล้องก็คือมีเพียวลีนสูง กินแล้วจะเกิดกรดยูริก ท่านก็จะปวดเข่า ปวดข้อ กินข้าวกล้องนานๆ สมองแจ่มใสก็จริง แต่ทำไมเดินไม่ได้ ไปไหนก็เดินกระย่องกระแย่ง ปวดเข่าปวดข้อ แล้วจะเลิกดีไหม ไม่จำเป็นต้องเลิก  เรามาหาตัวที่จะมาแก้กันนะคะ ตัวที่จะไปลดยูริค ลดเพียวลีน แก้อาการเก๊าต์ แล้วหินปูนไปเกาะที่ไหนบ้าง หินปูนเกาะที่จอประสาทตา วันหนึ่งอยู่ดีๆเลือดไม่ไปเลี้ยงที่จอประสาทตา หมอก็จะบอกว่า จอประสาทตาเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุมันมีสาเหตุแต่หมอไม่ทราบเท่านั้น คือมีหินปูนไปเกาะไง ถ้าเราล้างหินปูนทางตา เราก็จะไม่มีปัญหาตาเป้นต้อเป็นอะไร สายตาสั้น-สายตายาวยังพอให้อภัย แต่ตาเป็นต้อนี่ ไม่น่าให้อภัย อย่าเป็นกันนะ ตาเป็นต้อ ท่านต้องล้างหินปูน -หินปูนเกาะที่ขั้วปอด คราวนี้ก็เป็นหอบหืด ไอไม่เลิกอย่างนี้นะ-หินปูนไปเกาะที่เส้นเลือดฝอยหัวใจ อยู่ๆก็ทำให้หัวใจวายได้-หินปูนไปเกาะที่กระดูกสันหลังก็กลายเป็นกระดูกงอกกดทับเส้นประสาท จริงๆเราล้างหินปูน อย่าให้มันไปเกาะก็สิ้นเรื่อง ยาลดกรดยูริกไม่มีนะคะ

## สารเพียวลีนเมื่อเจอกับความเครียดในร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกรดยูริกลอยเท้งเต้งอยู่ในกระแสเลือด สะสมนานเข้าก็ตกตะกอนกลายเป็นหินปูน หินปูนก็จะไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ เช่นเกาะในหู เกาะจอประสาทตาเป็นต้อหิน ทั้งผ่าทั้งขูดทั้งลอกเท่าไหร่ ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุก็จะงอกอีก หรือไปเกาะตามข้อกระดุก ทำให้คนเรามีอาการปวดรุ่นแรง ปวดข้อปวดเข่า ปวดกระดุก จนกลายเป็นโรคเก๊าตื  รูมาตอยดื และที่ร้ายกว่านั้น  หินปูนอาจจะไปเกาะตามอวัยวะสำคัญเช่นปอด  ตับ ไต หัวใจ โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจ ถ้าแก้ไขไม่ทันอันตรายถึงชีวิต แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ  

สูตรน้ำลูกเดือย ขอแนะนำว่าให้ใช้ลูกเดือยต้มน้ำเป็นเครื่องดื่มน้ำลูกเดือยดื่มเป็นประจำจะช่วยลดหินปูน วิธีทำ ลูกเดือย 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ให้เป็นเหมือนน้ำข้าว ดื่มอุ่นๆได้ทั้งวัน พอน้ำงวดก็เติมน้ำร้อนใหม่ ดื่มได้อีก เติมอีกดื่มอีก จนกว่าจะจางใส ดื่มติดต่อกัน 7-15 วัน

🍂🍂(กากลูกเดือยทิ้งไปไม่ต้องกิน เพราะถ้ากินแล้วมันจะไปดึงตัวยากลับมาการรักษาจะไม่ได้ผล) 🍂🍂

***ถ้าเติมถั่วขาวลงไปด้วยจะบำรุงปอด บำรุงไต และเพิ่มสรรพคุณในการล้างหินปูนได้แรงขึ้นเร็วขึ้น (อัตราส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ถั่วขาว 1 ส่วน)

🍂🍂น้ำลูกเดือย ถ้าดื่มก่อนนอนวันละ 2 แก้ว จะไปช่วยบำรุงตับทำให้หลับสบาย

###  เมื่อกินได้ระยะหนึ่งจนหายดีแล้ว ให้เลิกกินบ้าง

บางคน มีค่ายูริกสูง จะตรวจพบค่าของไต สูงไปด้วย ทั้งๆที่ไม่ได้กินเค็ม เป็นเพราะมีหินปูนไปเกาะที่เนื้อเยื่อไต นั่นเอง
โดยปกติเนื้อเยื่อของไตจะมีลักษณะอ่อนนุ่ม ผิวเป็นรูพรุน เหมือนฟองน้ำ แต่เมื่อหินปูนไปเกาะ ทำให้ไตแปรสภาพคล้ายของแข็ง เหมือนมีปูนปลาสเตอร์ไปโบก ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ หมอก็จะจับฟอกไต แค่เราล้างหินปูน ออก ด้วยสูตรน้ำลูกเดือย ก็จะได้ไม่ต้องไปฟอกไต ให้เปลืองตัวเปลืองตังค์ แถมเสียเวลาทำงาน เวลาคนเราเจ็บป่วย มันชวนหงุดหงิดในหัวใจ  ดูแลสุขภาพก่อนป่วย เป็นสิ่งสำคัญ ดีกว่าป่วยแล้วมารักษา...

Cr. อ.สุทธิวัสส คำภา

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2560

การเดินดียังงัย

- รู้งี้  แต่ละวันจะเดินให้มากขึ้น  ก่อนที่จะใช้ขาตัวเองเดินไม่ได้

ชดเชยแคลเซียมด้วยการเดิน จะได้ ปย.มากกว่าการกินแคลเซี่ยม

กระดูกจะพรุนหรือไม่พรุน อยู่ที่การเดิน  มากกว่าการกินแคลเซี่ยม และต้องเดินเยอะๆ  ตั้งแต่เด็กๆ  จะสะสมความแข็งแรงของกระดูกเหมือนคนญี่ปุ่น

นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโมะ ผู้อำนวยการใหญ่ของโรงพยาบาล 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้เขียนหนังสือซึ่งเป็นผลงานระดับ Best sellerในญี่ปุ่นมาหลายเล่ม

และหนึ่งในนั้น มีบทหนึ่งที่ชื่อว่า “มาชดเชยแคลเซียมด้วยการเดินกันเถอะ” ซึ่งเหมาะกับผู้สูงวัย อยากขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้

คุณหมอแนะนำว่า  "ถ้าอยากทำให้กระดูกแข็งแรง ต้องเดินให้มากเป็นสองเท่าของคนทั่วไป เพราะแรงโน้มถ่วง  จะทำให้กระดูกเพิ่มปริมาณแคลเซียมในกระดูกได้ตามธรรมชาติ"

ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงมีการพูดกันโดยทั่วไปว่า แคลเซียมจะลดน้อยลงตามอายุล่ะ?? คุณหมออธิบายเพิ่มเติมว่า

"แต่เดิม  กระดูกเป็นเหมือนธนาคาร  ซึ่งเก็บสะสมแคลเซียมเอาไว้ เมื่อแคลเซียมในเลือดลดลง  ก็จะนำแคลเซียมจากกระดูกมาใช้แทน  และเมื่อผู้สูงวัยมีการเดินที่ไม่เพียงพอ กระดูกก็จะค่อยๆเปราะบางลง

- ถึงแม้จะกินแคลเซียมมากเพียงใด  ก็ไม่มีผลช่วยอะไรมากนัก  เพราะปัจจัยหลักที่สำคัญ คือ "ปริมาณการออกกำลังกาย" ที่ผู้สูงวัยมีลดน้อยลง  ซึ่งบางรายในแต่ละวัน แทบไม่ได้มีการขยับตัวเลยนั่นเอง

นอกจากนี้  ยังเกี่ยวข้องกับปริมาณฮอร์โมนที่ลดลงอีกด้วย เพราะเดิมทีฮอร์โมนเพศ  ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศหญิง  หรือฮอร์โมนเพศชาย  ต่างก็มี “ฤทธิ์เสริมสร้าง” ทำให้กระดูกแข็งแรงและกล้ามเนื้อบึกบึน

สำหรับผู้ชายนั้น ถึงแม้จะใกล้วัย 80 ปี แต่ปริมาณฮอร์โมนเพศชายที่ผลิตออกมา  ก็ไม่น้อยไปกว่าช่วงวัยรุ่น ในขณะที่ฮอร์โมนเพศหญิง  จะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุประมาณ 25 ปี และจะหยุดผลิตเมื่อหมดประจำเดือนตอนอายุประมาณ 50 ปี

แน่นอนว่า...หากไม่มีฮอร์โมนเพศ  ก็จะไม่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ ธรรมชาติจึงจำเป็นต้องผลิตฮอร์โมนทดแทนขึ้นมา ชื่อว่า “แอนโดรเจน (Androgen)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย  ที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตเพื่อชดเชยฮอร์โมนเพศหญิงในส่วนที่ขาด  แต่แอนโดรเจนก็ไม่ได้มีปริมาณมากเพียงพอ กระดูกจึงไม่สามารถรักษาแคลเซียมเอาไว้ได้

นอกจากนั้น พวกเราผู้สูงวัย  ยังมีแนวโน้มที่จะเดินน้อยลงเรื่อยๆ
ตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น  จึงยิ่งทำให้ขาดแคลเซียมมากขึ้นไปอีก ส่งผลทำให้มีอาการปวดหัวเข่า  และ ปวดสะโพก พอปวดแล้วก็จะยิ่งเดินน้อยลงไปอีก  จนถึงขั้นต้องนั่งรถเข็น  ซึ่งจะยิ่งเข้าสู่วงจรแย่ๆ  ที่ทำให้เพื่อนๆยิ่งมีกระดูกอ่อนแอลงไปจนเกินแก้ไขเดินด้วยขาตนเองไม่ได้

ในทางกลับกัน ต่อให้เป็นวัยหนุ่มสาว หากนั่งทำงานอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ วันๆแทบไม่มีการขยับตัว  แล้วจู่ๆวันหนึ่งก็ลุกขึ้นมาใช้ขาอย่างหักโหมในการไปท่องเที่ยวทันที  ก็จะมีอาการปวดข้อปวดเข่า เพราะร่างกายไม่เคยชิน ดังนั้น  เราจึงควรฝึกนิสัยรักการเดินให้เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอ

คุณหมอโยะชิโนะริ นะงุโมะ มีอายุถึง 60 ปีแล้ว แต่อายุกระดูกที่ตรวจวัดได้  ยังมีอายุเพียงแค่ 28 ปี ซึ่งอ่อนกว่าอายุจริงกว่า 30 ปี นั่นเป็นเพราะคุณหมอรักการเดินเป็นชีวิตจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณหมอบอกว่า  การเดินน้อยในวัยเด็กที่สะสมมา  จะมีผลอย่างยิ่งต่อระดับความรุนแรงของโรคกระดูกพรุน  เมื่ออายุมากขึ้น

ดังนั้น  พ่อแม่ที่โอ๋ลูกมาก ไม่ยอมให้ลูกได้เดินไกล  เพราะกลัวลูกเหนื่อย  หรือกลัวลูกลำบาก  ควรจะรีบเปลี่ยนความคิดใหม่  อย่าได้ทำร้ายสุขภาพของลูกในระยะยาว  ที่จะเดินด้วยขาตัวเองไม่ได้  เมื่อมีอายุที่มากขึ้น  เเละคุณหมอบอกว่า

" พ่อแม่ชาวญี่ปุ่น จะฝึกให้ลูกเดินเยอะๆ  ถ้าบ้านและโรงเรียนไม่ไกลจากกันมากนัก  ก็จะใช้วิธีเดินไปกลับ  แทนการนั่งรถไฟฟ้า หรือ  ถ้าขึ้นรถไฟฟ้า  ก็จะพยายามให้เด็กๆได้ยืน  เพื่อฝึกกำลังขาและสะโพก  เพราะการฝึกขาและสะโพกให้แข็งแรงตั้งแต่วัยเด็ก  จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแรงของกระดูกไปตลอดชีวิต"

- รู้งี้  แต่ละวันจะเดินให้มากขึ้น  ก่อนที่จะใช้ขาตัวเองเดินไม่ได้

วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ขับรถความเร็ว 120 นะดีแล้ว

  ....ยาวสักหน่อยแต่มีประโยชน์นะครับ...
   สวัสดีครับ เพื่อนๆสมาชิก วันนี้ว่างแป๊บนึง เลยอยากเล่าประสบการณ์จริงให้ฟังสักเรื่อง คือ....
เมื่อวันจันทร์ 14 สค.ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดชดเชยวันแม่ ผมต้องเดินทางไปทำธุระที่จันท์ ก็ตั้งใจไปจัดการงานให้เสร็จก่อนบ่ายสองเพื่อได้ขับรถกลับ กทม.ไม่ทันมืดเพราะกลัวนิสัยชอบขับรถหลับในของตัวเอง แต่เนื่องจากจัดการเอกสารไม่เสร็จ กว่าจะเสร็จออกเดินทางได้ก็เกือบทุ่ม
  คราวนี้ก็ตาเหลือกละซิ..!!  กลัวง่วงกลางทาง ต้องอยู่บนถนนให้น้อยที่สุด ก็แปลว่าขับรถให้ถึงปลายทางเร็วที่สุด อีกใจนึงก็หงุดหงิดกับกฎหมายควบคุมความเร็ว ว่าไอ้คนออกกฎมันจะรู้ไหมนะว่าขับรถยิ่งช้ายิ่งง่วงง่ายอะ..? มันคงไม่รู้หรอกเพราะชีวิตอย่างพวกมันเป็นคนระดับบริหาร มีคนขับรถอยู่แล้ว มันง่วงมันก็หลับ แต่คนระดับกลางๆอย่างเราๆต้องขับรถเอง เสี่ยงตายเองบนถนน
   ว่าแล้วก็กดซะ 140-160  กับรถฟอร์จูนเนอร์ ที่ความเร็วขนาดนี้ เจอไฟแดงตรงนายายอามเบรคไม่อยู่ก็ครั้งที่หนึ่งแระ จำเป็นต้องเลยตามเลย ฝ่าไฟแดงด้วยการบีบแตร ทริกไฟสูงทำเหมือนมีธุระด่วน ยังกับมีคนป่วยหนักอยู่ในรถซะงั้น...!!!  กลัวจะมีคนวิ่งตัดหน้า แล้วก็ยังไม่เข็ด ลุยต่อด้วยความเร็วเฉลี่ยขนาดนี้ตลอดเส้นทางแบบไม่กลัวกล้องเพราะคิดว่ากลางคืนกล้องคงจับไม่เห็น หรือไม่ก็กล้องคงจะต้องปิดพักผ่อนเหมือนคน ..คิดได้งัยก็ไม่รู้...??  คนมันจะทำอะไรผิดมันก็หาข้อแก้ตัวมาสนับสนุนอย่างนี้แหละ  ความจริงน่าจะเรียกว่าหาเรื่องไปตายซะมากกว่่า....
  จนมาถึงเลยแถววังจันทร์ค่อนไปถึงบ้านบึง ประมาณน่าจะสองทุ่มแระ ที่จุด U-Turn จุดนึง รถเรามาด้วยความเร็วอย่างว่า มืดก็มืด รถวิ่งจะถึง U-Turn อยู่แล้ว พลันสายตาก็เห็นรถพ่วงคันนึง ค่อยๆวิ่งออกจากจุดเลี้ยว เธอเคลื่อนที่แบบเรียบร้อย ค่อยๆเคลื่อนแบบใจเย็น ซึ่งมันอาจจะปรกติของเขาแต่มันคงช้ามากๆสำหรับเราตอนนั้นละมั้ง ณ.วินาทีนั้นขนหัวลุกแล้ว ความเร็วขนาดนั้น กับความช้าขนาดนี้ เห็นหน้ายมทูตยืนรออยู่เลย ผมเหยียบเบรคทันที แบบว่ากดมิดไม่มีปล่อย ออกแรงบีบพวงมาลัยเท่าที่มีตอนนั้น กล้ามเนื้อทั้งแขน กำลังที่ลำแขนแข็งแรงเท่าที่เรามีทั้งหมดงัดเอามาสู้กับแรงบิดเมื่อรถถูกเบรกแรงและกระทันหันขนาดนั้น รวมทั้ง นน.รถใหญ่แบบรถ SUV อย่างฟอร์จูนเนอร์ คนที่เคยเจอสถานการแบบนี้จะรู้ว่า รถจะถูกแรงดึงให้เปลี่ยนทิศทางกระทันหันจากการเบรกเร็วและแรง ถ้าคนขับสู้กับแรงสบัดของพวงมาลัยไม่ได้และถ้ารถมี นน.เบารถจะสบัดและพลิกคว่ำทันที อย่างที่เห็นบ่อยๆในหนัง
  ผมก็เจอสถานการณ์แบบนั้น รู้สึกเลยว่าขณะที่รถเราพุ่งเข้าหารถพ่วงคันนั้นด้วยความเร็ว แล้วเท้าเราเหยียบเบรกแบบสุดแรงตลอดทาง พวงมาลัยมันมีแรงบิดมากระทำมากขนาดไหน ต้องสู้กับมันให้รถไม่สบัด ส่วนตาก็จ้องมองไปข้างหน้าเห็นแต่ด้านข้างรถพ่วงที่มันใกล้เข้ามาทุกทีๆ  บอกอารมณ์ตอนนั้นได้เลยว่า ไอ้ที่เราเห็นในข่าวรถชนกันเละกลางถนนคนตายคารถนะ ก่อนจะชนคนขับคิดอะไรบ้าง รู้ได้เลยว่าที่เขาว่า ชาตินี้กับชาติหน้าที่มันห่างกันแค่ห้าวินาทีนะมันเป็นยังงัย ..?? ห้าวินาทีคิดอะไรได้มากมาย..ครอบครับ คนรอบตัวที่เราเป็นห่วง สิงศักดิ์สิทธิ์ที่เราพอจะรู้จัก ตายแล้วเราจะไปไหนสงสัยมานานคงได้รู้จริงด้วยตัวเองก็คราวนี้แหละ.....!!!
   เท้าที่กดเบรกเต็มที่ไม่มีวันปล่อยแน่ๆจนกว่ามันจะชนนั่นแหละ มือกำพวงมาลัยแน่น แขนเกร็งสู้กับแรงบิดที่เกิดที่ล้อ สมองคิดอะไรมากมายก็ยังอุตส่าห์มีเวลาเหลือแว็ปนึงคิดแผนสองว่า ถ้าเอาไม่อยู่จริงๆ ตอนรถเข้าปะทะกะว่าจะยอมหักพวงมาลัยขวาทันทีเอาท้ายรถเข้าปะทะก่อน แล้วแรงกระแทกอาจเอาส่วนห้วรถที่เรานั่งขับอยู่เข้ากระแทกอีกที อาจจะเบาลงก็ได้ โชคดีมากๆที่ตอนนั้นขับมาคนเดียวไม่มีใครให้เราต้องห่วงว่าเอาส่วนนั้นส่วนนี้เข้าปะทะแล้วเรารอดคนอื่นอาจแย่แทน 
  ตอนเราเห็นรถพ่วงเริ่มเลี้ยวนั่นเราก็กะจะช้อนด้านท้ายรถพ่วงด้วยการวิ่งเข้าเลนซ์ขวากะว่ารถพ่วงเลี้ยวไปอาจจะมีช่องว่างให้เราลอดผ่านไปได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะช้าและไม่ทันมีช่องให้ แต่ก็ถือว่าโชคดีระดับแรกที่เราตัดสินใจเข้าเลนซ์ขวา เพราะการตัดสินใจเข้าเลนซ์ขวานี่คือการตัดสินใจที่เป็นปฐมเหตุให้เรารอดตายมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกัน
คือ...เหลือระยะทางอีกแค่สักสิบเมตรเห็นจะได้จะเข้าปะทะ รถถูกเบรคก็ยังไม่ยอมหยุด ...จะด้วยปาฐิหารย์ ด้วยแม่ย่านางรถที่เรานับถือกราบไหว้ หรือจะด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราอาราธนาให้ปกป้องคุ้มครองชิวิตและทรัพย์สิน ของเราและบริวารที่ติดตามก่อนเดินทางไกลทุกครั้ง หรือจะเป็นเพราะไหวพริบของเราเองก็ตามซึ่งข้อนี้ผมขอให้คะแนนต่ำสุดก็แล้วกันเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีไหวพริบเก่งขนาดนั้น .......พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นจุด U-TURN ที่เจ้ารถพ่วงคันเนียะมันขับออกมานี่แหละที่อยู่เยื้องไปข้างหน้าทางขวา สิ่งที่ผมเห็นก็คือ รถเก๋งสีขาวรอกลับรถต่อ มีมอไซด์คันนึงอยู่ข้างหลังหนึ่งคัน ส่วนจุด U-TUTNด้านฝั่งเราที่จะไปฝั่งโน้นมีรถเก๋งสีขาวอยู่คันนึง ที่ผมเห็นชัดจริงๆท่ามกลางความมืดที่ U-TURN นั้นไม่มีไฟถนนให้เลยก็คือ ช่องว่างระหว่างรถเก๋งสองคันนั้น มันคือช่องว่างที่เหมือนชายแดนชาตินี้กับขาติหน้าของผมเลยก็ว่าได้ ต้องเสี่ยงกันหน่อยละ..!!ก็รถมันจะปะทะแล้วมันยังไม่หยุดสักที ขอระยะที่เหลือให้เล่นอีกสัก 10-15 เมตรเนียะลองต่อชีวิตตัวเองดู  ตอนนี้ไม่เหลือเวลาให้คิดมากแล้ว ผมค่อยๆบิดพวงมาลัยเข้าหาช่องว่างนั้นเลย เชื่อไหมครับว่าเพราะรถอยู่เลนซ์ขวาอยู่แล้วจึงไม่ต้องหักพวงมาลัยมากซึ่งเสี่ยงกับรถพลิกคว่ำ เสียงเบรกรถมันดังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพราะตลอดที่เหยียบมาผมไม่ได้ยินเสียงเลย คงอยู่ในสภาวะหูอื้อตาลายนะ รถผมจอดสนิทได้คือเลยไปถนนฝั่งตรงข้ามค่อนคัน ตอนนั้นไม่มีรถสวนมา ผมรับดึงเกียร์ถอยหลังเลย เข้าจอดที่จุดพักรถ U-TURNนั่นแหละ ออกมายืนขาสั่นตื่นเต้นกึ่งดีใจอยู่ข้างรถ รู้สึกว่าโลกใบนี้ทำไมมันน่าอยู่ขนาดนี้นะ รักโลกใบนี้ขึ้นอีกมากมาย อยากอยู่ต่อไปอีกนานๆทำประโยชน์ให้คนรอบข้างต่อไปได้อีก...คนขับรถเก๋งทั้งสองคันรวมทั้งมอไซด์เปิดกระจกคุยด้วยว่า นั่งลุ้นดูเหตุการณ์อยู่ในรถตลอด กะว่าโดนแน่ๆแล้ว เตรียมแจ้งกู้ภัยได้เลย เสียงเบรกดังมาแต่ไกล โชคดีจริงๆที่รอดมาได้...ผมยืนขาสั่นรวบรวมสติเข้าที่เข้าทางแล้วค่อยขับรถออกมาแบบคนเคารพกฎอย่างดี วิญญานของคนอวดดี อวดเก่งขับรถเร็ว หายไปจนเดี๋ยวนี้...
   ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอามาเป็นข้อเตือนใจเพื่อนๆว่า
1.อย่าไปโกรธกฎหมายเลยครับที่ให้วิ่งบนถนนใหญ่ได้ไม่เกิน 120 กม/ชม นะครับ เพราะเขาคำนวนให้มาดีแล้วว่า ให้รถวิ่งได้เร็วขนาดไหนแพงขนาดไหน สมถะภาพของคนธรรมดาๆอย่างเราๆ ที่ความเร็วรถ 120 เนียะยังพอเอาอยู่ สายตายังเห็นทัน ปฎิกริยาตอบโต้ยังแก้ไขอะไรทัน และแรงเฉื่อย(momentum)ของรถยังเอาไหว แต่ถ้าระดับนักแข่งก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ หรืออย่างน้อยกลับบ้านก็วางใจได้ว่าไม่มี จม.จากตำรวจแห่งชาติตามมาให้ไปเสียค่าปรับฐานขับรถเร็วกว่ากำหนด
2.ก่อนออกจากบ้านก็เชื่อสักนิดนะครับว่าสิงศักดิ์สิทธิ์มีจริง กราบไหว้ อาราธนาให้คุ้มครองชีวิต ทรัพย์สินของเราและบริวารทั้งที่ไปกับเราและที่อยู่ที่บ้านขณะที่เราไม่อยู่
3.ความแข็งแรงของร่างกายและความแข็งแรงของสมอง(สมาธิไงครับ..!!) ก็สำคัญมากๆนะครับเมื่อเจอสภาวะแบบนี้
  และ 4.ให้ความสำคัญกับเวลาที่อยู่บนรถบรถนนบ้างก็ดีนะครับ เพราะมนุษย์ทำงานสมัยนี้มักให้ความสำคัญของเวลาบนรถน้อย คือ ขับรถให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุดเพราะเวลาบนรถคือความเสียเวลาของทุกคน ทำให้เสียเวลาทำงาน เสียเวลาทำกิจกรรมอื่น เคยสังเกตุไหมว่า ถ้าเราขับรถจากตะวันตกกรุงเทพ(ตลิ่งชัน บางใหญ่)ไปฝั่งตะวันออก(บางนา รามคำแหง) เรามักทำเวลาให้เร็วสุดคือใช้ทางด่วน ต้อวเสียเงินไปเท่าไหร่ประมาณสักสี่ห้าร้อยนะครับ ซึ่งเป็นค่าน้ำมันวิ่งออก ตจว.ไปได้ไกลหลายร้อยกิโลเลยนะเนียะ เงินเดือนคนกรุงเทพเลยหมดไปกับการให้เวลามันน้อยลงนี่แหละ..ที่สำคัญคือยิ่งบดเวลาขับรถลงมากแค่ไหนก็คืออันตรายมากขึ้นแค่นั้น.เป็นปฎิภาคผกผันกันนะครับ..pjmong

วันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เรื่องถนนส่วนกลาง ที่กุมารทอง

  หลังจากไปโอนที่กุมารทองแล้ว มีเรื่องนึงที่พวกเรายังทำไม่เสร็จสมบูรณ์ คือ ส่วนที่เป็นถนนส่วนกลาง (โฉนดแปลงคง) ที่ยังถือเป็นชื่อแม่คนเดียวอยู่ นั่นก็แปลว่าทุกแปลงยกเว้นสองแปลงติดถนน ที่ได้กันไปเป็นที่ตาบอดหมด มันมีวิธีจัดการอยู่ดังนี้
1.ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ไม่ต้องเปลี่ยน คือแม่เป็นเจ้าของ แม่เสียภาษี พวกเรารับเป็นที่ตาบอดไป
2. แม่โอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกๆทุกคนถือร่วมกัน อันนี้ทุกคนเถือกรรมสิทธิ์ร่วม ได้ทั้งผลประโยชน์และเสียผลประโยช์(อะไรก็ได้ที่อาจเกิดขึ้นกับถนนทั้งทางลบหรือทางบวก ทางลบเช่นโดนเวรคืน ) กรณีย์นี้ทุกคนต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องบวกเรื่องลบร่วมกัน เช่นเสียภาษี ซ่อมถนน จ่ายค่าส่วนกลางถ้ามี เดินระบบไฟฟ้า ประปา  เป็นต้น
  ข้อเสียข้อนี้อีกข้อคือ ถ้าใครคนนึงขายที่ไป และไม่ได้ขายสิทธ์ของตัวเองให้ไปคนซื้อจะกลายเป็นตาบอดทันที พราะเจ้าของที่ใหม่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ร่วมบนถนนด้วย
  3.ยกเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมเหมือนข้อ 2 แต่เพิ่มคำบรรยายไปด้วยว่า ให้ยินยอมให้โฉนด(ไม่ระบุชื่อคนแต่ระบุเลขที่โฉนดและเลขที่ดิน ) ที่ติดกับถนนเส้นนี้ทุกแปลงหรือระบุไปเลยว่าแปลงไหนบ้าง ) ข้อนี้มีข้อดีคือ ลูกทุกคนถือกรรมสิทธิ์ร่วม ช่วยกันดูแล เสียภาษีร่วมกันเหมือนเดิม และถ้าที่แปลงใดแปลงหนึ่งถูกขายไปกี่ทอดก็ตาม เจ้าของใหม่ที่ถือที่ดินก็สามารถใช่ถนนได้เพราะได้รับการยินยอมให้ใช้ แม้แต่ไม่ได้มีชื่อเป็นผู้ถือกรรทสิทธิ์ด้วยก็ตาม(เพราะได้รับคำยินยอมโดยเลขโฉนดไม่ใช่ขื่อคน ดังนั้นเปบี่ยนชื่อเจ้าของกี่ครั้ง เลขโฉนดก็ไม่เปลี่ยน) คือเป็นผู้ใช้อย่างเดียวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร และกิจกรรมของถนนก็ยังเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่ดีเพราะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
4. แม่ถือกรรมสิทธิ์คนเดียวเหมือนเดิม แต่ให้คำยินยอมต่อโฉนดทุกแปลงที่อยู่โดยรอบถนน แบบนี้แม่รับผิดชอบเรื่องต่างๆของถนนคนเดียว ส่วนเจ้าของโฉนดเป็นผู้ใช้อย่างเดียวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
  5.แม่หรือผู้ถือกรรมสิทธิ์(พวกเรา) ร่วมกันยกให้หลวง แบบนี้ไม่ต้องมีใครรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดูแลถนน หลวงจัดการให้หมดเช่น ทำถนน ระบบน้ำ ไฟฟ้า ซ่อมแซม และไม่ต้องมีภาระจ่ายภาษี แต่ข้อเสียเรื่องนี้คือ ใครจะเข้ามาใข้ประโยชน์ ก็ได้ ตัวอย่างคือ หมู่บ้านพระปิ่นสอง ถนนส่วนกลางถูกยกให้หลวง ปรากฎว่าคนในหมู่บ้านเข้าบ้านตัวเองไม่ได้เพราะถนนถูกทำเป็นตลาด ถนนมีแต่ร้านค้า คนเดิน รถเข้าไม่ได้ หรือ รถเข็นาุกคันอาจเข้ามาจอดในถนนตรงไหนเมื่อไหร่ก็ได้
ลองช่วยกันพิจราณา ว่าอยากให้เป็นแบบไหน คิดได้แล้วก็ร่วมกันเซ็นใบมอบอำนาจ พร้อมสำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชน คนละชุด พร้องเงินค่าธรรมเนียมโอน(ภาษีไม่ต้องเพราะเป็นเป็นการให้จากแม่) เท่าไหร่ต้องเช็คเพราะยังไม่รู้เอากันแบบไหน ส่งให้แม่ ไปจัดการโอน