วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562

อวยพรปีใหม่ 2564

  ปีใหม่แล้วนะ ขออะไรใครไม่   ได้แน่ๆ เพราะแต่ละคนก็ต้องพยายาม เงินทองมีจำกัด ต้องแย่งกันเอง แค่พวกเศรษฐีหอบเอาไปให้เขาถึงที่เมืองนอก(พวกออกไปซื้อของแบรนด์เนม) พวกเมืองนอกเข้ามาขน(ร้านอาหาร kfc แมคค์โดนันล์ โค๊ก เป๊บซี่ พิซซ่า น้ำมัน ...ฯลฯ) พวกต่างด้าวขนออกทางใต้ดินอีก จีนแย่งไปก็มากมายในรูปของขายสินค้า...เรียกว่าคนไทยเลือดไหลออกทั้งวัน ที่เหลือเศษสตางค์พอจะเหลือก็โดนรัฐไล่ออกกฎหมายรีดภาษีเพิ่ม  หน่วยงานรัฐบาลออกกฎใหม่ๆเพื่อเพิ่มอัตราการปรับถ้าทำผิดอีกมากมาย เราคนไทยจงเตรียมตัวหรือพยายามหาทางเก็บเงินในกระเป๋าให้ดี และถ้าใครมีความรู้มีโอกาส ขอจงมีกำลังกายกำลังใจ พยายามไล่เก็บเงินจากกระเป๋าคนอื่นให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะไม่มีให้วิ่งเก็บ...ไม่ได้พูดให้ท้อนะครับ แต่...ตอนนี้บ้านเราเป็นแบบนั้นจริงๆ อยากพูดเพื่อสร้างกำลังใจให้มีกำลังกายวิ่งสู้ฟัดนะครับ ใครช้า ใครหลงทาง ใครอยู่เฉย งานนี้ไม่มีคงตัว จะมีแต่ถอยหลัง ส่วนใครขยัน มีโอกาสคงตัว คือพอดีมีใช้ กับมีโอกาสเหลือเก็บนะครับ...ปีนี้ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงทั้งกายทั้งใจ เพื่อต่อสู้กับเรื่องหนักๆ รอบตัวเรานะครับ..pjmong

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ความรู้เรื่องมะเร็ว

@ มีญาติติธรรมชาวอโศกเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับ ...
เกิดคำถามว่า...
ทำไมคนกินพืชผักยังเป็นมะเร็ง ...
มะเร็ง เห็นเกิดแต่กับคนกินเนื้อมิใช่หรือ ...
คนเป็นมะเร็งจึงให้เลิกกินเนื้อแล้วมากินผัก ?

@ (จากหมอสา ตะกายธรรม)
ก่อนอื่นต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดนะครับ ว่าคนกินผักจะไม่เป็นมะเร็ง 

เราต้องทำความเข้าใจการเกิดของเซลล์มะเร็ง ...
สิ่งสำคัญที่เซลล์ทุกเซลล์ในตัวเรา ต้องการมากและขาดไม่ได้เลย คือ* ออกซิเจน *
ถ้าร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มร้อย เซลล์ก็จะไม่มีการเปลี่ยนตัวเองเป็น เซลล์มะเร็ง ...

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำให้ ร่างกายเกิดคาร์บอนไดออกไซด์มากและออกซิเจนในเลือดต่ำ 
เซลล์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง ...
เซลล์จึงเปลี่ยนมาใช้คาร์บอนไดออกไซด์หายใจแทน และเปลี่ยนตัวเองเป็นเซลล์มะเร็ง...

แล้วอะไรทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบไหลเวียนเลือดเรามากที่สุด ???
ไม่ใช่อาหารเนื้อสัตว์ ...
ไม่ใช่อาหารพืชผัก...
ไม่ใช่อาหารปนเปื้อนสารเคมี ...
ไม่ใช่อาหารหมักดองอย่างที่เราเข้าใจ ...

สิ่งที่ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงเร็วและมากที่สุดคือ ... ความเครียด ความเร่งรีบกับการใช้ชีวิต อารมณ์โมโหที่เกิดบ่อยๆ 
เพราะอะไร ?
เพราะมันเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายเกิดกระบวนการเผาผลาญพลังงานอย่างสูงและอย่างมาก ...
ส่งผลให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงตามอย่างเร็ว 
โดยเฉพาะสมองเรานั้น...กินพลังงานสูงเป็น 5 เท่าของทุกอวัยวะ 
คิดง่ายๆว่า ... ถึงแม้เราจะทานอาหารพืชผักไร้สารพิษบริสุทธิ์สะอาดสักปานใด 
หากเราเครียด ติดต่อกัน  5 วัน เราก็เป็นมะเร็งได้ทันที 

@ คนอโศกที่กินผัก และปฏิบัติธรรม ...คนที่ยึดมาก ยึดดีมาก เคร่งเครียดมาก ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งมากเช่นกัน ...

และเท่าที่ผมสังเกตนะครับ
คนที่เคร่งเครียดมากเร่งรีบมาก ... มักจะดื่มน้ำน้อย และขาดการออกกำลังกาย ..จึงส่งผลให้ออกซิเจนในเลือดต่ำ... ทำให้เซลล์กลายเป็นมะเร็ง เพิ่มมากขึ้นอีก 

@ แล้วทำไมคนเป็นมะเร็ง...
ควรเลิกกินเนื้อสัตว์..มากินผัก ...
เพราะกระบวนการย่อยเนื้อสัตว์ใช้พลังงานสูงกว่ากระบวนการย่อยผัก 
การกินเนื้อ จึงทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดมากกว่าการกินผัก 

@ แต่หากเลิกกินเนื้อมากินผักแล้วคนป่วยเครียด ...
มะเร็งจะยิ่งกระจายยิ่งกว่า คนกินเนื้อแล้วไม่เครียดนะครับ ...

@ สรุปว่า ... อารมณ์ที่เคร่งเครียด กับความเร่งรีบในการใช้ชีวิต ... บวกกับ ขาดการออกกำลังกายและดื่มน้ำน้อย ...(3ข้อนี้) นำมาซึ่งการเกิดเซลล์มะเร็งได้มากที่สุด

สุขภาพดีนั้นมีค่ามาก 
การที่เราไม่เจ็บป่วยเลย ชีวิตก็มีความสุข(พอเพียง)...
พอๆกับการเป็น พระอรหันต์  นั่นล่ะครับ  
สาธุครับ

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

การทำธุรกิจกับชีวิตจริง

สวัสดีครับ  วันนี้อากาศเย็นสบาย บรรยากาศชิวๆ  ใช้เวลาสักเล็กน้อยเขียนอะไรเล่นดีกว่า อยากคุยเรื่อง "ความเสี่ยงในธุรกิจ กับชีวิตจริง " นะครับ 
  ในชีวิตประจำวันของเรา ตลอดทุกนาทีที่อยู่ข้างหน้าเรา จะมีผลของการกระทำจากเราในปัจจุบันทั้งสิ้น และผลที่จามมาที่ว่านั้นจะเป็นบวกหรือลบเท่านั้น โชคดีเป็นบวกมากกว่าลบก็ได้กำไร ถ้าเป็นในเชิงธุรกิจแล้วเราจะลงทุนอะไร เราจะต้องพิจารณาข้อมูลให้ดีก่อน เราเรียกว่า"การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน " เมื่อได้ข้อมูล พร้อมวิเคราะห์ดีแล้วเราก็ลงทุน ผลที่ยังไม่เกิดนี้เราเรียกว่า " ความเสี่ยง" ในระหว่างทำกิจกรรมนั้นๆเป็นธรรมดาเราต้องหาทางบริหารงานนั้นให้ได้ผลลัพธ์ได้กำไรให้มากที่สุด  ซึ่งเราเรียกว่า " การบริหารความเสี่ยง" ช่วงนี้หนักสุด ใช้ทั้งสมอง แรงกาย ประสบการณ์และไหวพริบ เพราะเราต้องทำทุกอย่างให้ผลของความเสี่ยงนั้นออกมาป็นบวกให้มากที่สุด
    ในการดำเนินชีวิตคนเราก็เหมือนกัน ในแต่ละนาทีที่รอเราอยู่ข้างหน้า คือความเสี่ยงของเวลาในปัจจุบันของเราทั้งนั้น ใครตัดสินใจกระทำไปทางไหนแล้วต้องรับผิดชอบผลของมันทั้งนั้น ดังนั้น ก่อนจะทำอะไร เครื่องมือสำคัญคือ " สติ" คิดบวกลบคูณหารให้ดีก่อนว่าผลที่ตามมามันคุ้มหรือไม่ อัตราเสี่ยงที่จะได้ผลลบมีมากแค่ไหน ทุกการกระทำของเราไม่ว่าต่อเพื่อน ต่อญาติ หรือต่อคนใกล้ตัว ทำไปแล้วเพื่อผลอย่างหนึ่ง แต่ผลของมันได้อย่างอื่นที่เป็นลบมากกว่าตามมา ก็ไม่ควรเสี่ยงแม้แต่อยากจะทำมากแค่ไหนก็ตาม เราต้องมี " ความอดทนต่อสิ่งยั่ว" ให้มากๆ ถึงจะเรียกว่า ควบคุมอารมณ์ได้ดี  บางทีมันก็เกิดจากสิ่งเร้ารอบตัว บางครั้งเราก็จินตนาการขึ้นเอง อาจเกิดจากความสนุก คะนอง ทิฐิ หรือการเอาชนะ ถ้าเราใช้สติ คิดพิจารณาวิเคราะห์ข้อมูลและพยายามนึกถึงผลของมันให้มากๆ โอกาสขาดทุนก็น้อยลง และถ้าเราตัดสินใจทำไปแล้วการบริหารจัดการงานนั้นให้ได้ผลเป็นบวกที่สุด คือการบริหารความเสี่ยงได้ดี ผลลัพธ์ก็จะมีโอกาสได้กำไร ในเชิงธุรกิจหรือได้รับความสุขในชีวิตจริง 
      ในชีวิตประจำวันรอบๆตัวเรา เราจะเห็นการกระทำของเพื่อนต่อเพื่อน คู่รักต่อคู่รัก คนรู้ใจ ฯลฯ  ต่อเหตุการบางเรื่องที่ทำไปแล้วแล้วได้ผลออกมาเป็นลบ  เรามักจะมีคำถามตามมาเสมอๆว่า ทำไปเพื่ออะไร ไม่เห็นมีบวกเลยได้แต่ลบ ไม่น่าทำเลย ....ก็เพราะเราไม่คุมอารมณ์ตัวเองและใช้ สติ ใช้ความอดทนต่อสิ่งยั่วที่เกิดขึ้นในใจเรา ยับยั้งมันให้ได้ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป ปล่อยให้การกระทำตามความอยาก ผลออกมาเป็นลบ ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ได้แต่เสียใจ แผลในใจที่เกิดขึ้นระหว่างกัน แม้จะพยายามแก้ไขก็ไม่มีวันหมดไปได้ สู้อย่าให้มันเกิดขึ้นเลยจะดีกว่าไหม..?? ..pjmong ....

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ร้องเพลง กับ ร้องเก่ง

  เมื่อวานไปนั่งร้านร้องเพลง บังเอิญมีระดับครูเพลง มานั่งด้วย ท่านแต่งเพลงให้นักร้องดัง แต่ขออนุญาตไม่เอ่ยว่าท่านเป็นใครละกันนะครับ ท่านเห็นเราร้องเพลงกันสนุกสนาน เพลงเก่ากลาง เก่ามาก หลากหลาย อยู่ดีๆท่านก็เดินมาบอกว่า พวกเราขุดเพลงอะไรมาร้อง เก่าจนฟังไม่รู้เรื่อง แนะนำว่า น่าจะเอาเพลงตลาดๆที่ทั่วๆไปเขาฟังกันรู้เรื่อง (ท่านไม่ได้พูดอะไรรุนแรงนะครับ ประมาณว่าท่านแนะนำด้วยความหวังดีอะครับ ) แต่ฟังเป็นทำนองเนียะ เราฟังแล้วเราก็ยิ้มๆ ได้แต่ครับๆ ไป แต่ในใจคิดไปถึงเรื่องเล่า ที่เคยได้ยินมาเรื่องหนึ่ง คือ มีคนสองคนนั่งคุยกัย คนหนึ่งนั่งจิบน้ำชา อีกคนนั่งจิบกาแฟ คนที่นั่งจิบน้ำชา ได้แต่พูดว่า กาแฟนั้นให้โทษอย่างนั้นอย่างนี้ แกอย่าไปกินมันเลย มันเป็นโทษต่อร่างกาย ...บลาๆๆๆ..คนที่นั่งจิบกาแฟก็ได้แต่พยักหน้านับทราบ เออ..ๆๆๆ แต่มือก็ยกแก้วกาแฟจิบไปเรื่อยๆ จนหมดถ้วย.. 
   เรื่องของเราก็คงทำนองนี้ คือ..ใครมีความสุขแบบไหนก็เดินตามทางนั้น  ในกลุ่มร้องเพลงมีคนอยู่ 3 ประเภท คือ 1. ร้องไม่เก่ง 2. ร้องเพราะ 3.ร้องเก่ง 
  แบบแรกเราขอไม่ขอพูดถึงให้เขาหัดไปก่อน ท่านคงอยากให้เราเป็นแบบที่ 2 คือร้องเพลงทั่วๆไปแต่ร้องให้เพราะ แต่การเป็นแบบร้องเพราะนั้น มันเป็นพรรสวรรค์ ร้องได้แนวเดียวหลากหลายไม่ได้เพราะต้องถนอมเสียง เลือกเพลงที่ตัวเองร้องเพราะมาร้องให้ฟัง เปลี่ยนแนว เป็นไม่ได้ ถ้าจะร้องเพลงแนวอื่นก็ต้องปรับให้มาเข้าทางตัวเอง เคยได้ยินธานินทร์ร้องเพลงสาวสวนแตงไหมละ?? ประมานว่าแบบนั้นนะครับ 
     ความสุขของแบบนี้คือ ร้องให้คนอื่นฟัง ชื่นชมเสียงเพราะๆของตัวเอง ถ้าวันไหนไม่มีคนฟังก็หมดสนุก 
  ส่วนแบบร้องเก่ง พวกนี้สนุกกับตัวเอง สนุกกับพรรคพวกที่ร้องแนวเดียวกัน คือไม่เอาเพราะแต่เอาเพื่อนเอาสนุก เอาพัตนาความสามารถไว้ร้อวกับคนหลายๆกลุ่ม อยู่ ตจว.ก็ลูกทุ่ง อยู่ร้านอาหารเบาๆก็ลูกกรุง สว.หน่อยก็สุนฯ  เปลี่ยนแนวไปเรื่อย หลากหลาย ไม่เอาเพราะแต่เอาสนุก เอาหลากหลาย ไม่มีคนอื่นฟังไม่เป็นไร ฉันชอบฉันร้องให้ตัวเองสนุก ...ใครเลือกแบบไหนก็ลองดูใจตัวเองนะครับ ส่วนพวกเราคงเอาสนุก เอาเพื่อน นะครับ.
    เต้นรำก็เหมือนกัน มีทั้งเต้นเก่งฟิกเกอร์เยอะ แต่ไม่ค่อยสวย กับเต้นสวย แต่ฟิกเกอร์ไม่เยอะ แต่ละคนเลือกทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ ก็ให้ความสุขได้ ไม่ว่าแนวไหนก็ตาม ขออย่างเดียวคือ เคารพต่อความคิดของเขา ...ไม่ว่ากัน....pjmong

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ห้องน้ำชาย

   เก็บตกจากห้องน้ำ แถวศรีนครินทร์ 
   เรื่องนี้ติดในใจมานานแล้ว ว่าห้องน้ำชายในเมืองไทยมันเป็นยังงัย?? ทำไมคนที่ทำความสะอาดในห้องน้ำผู้ชาย มีค่านิยมเดียวกันหมด..คือ ..ชอบคิดว่าห้องน้ำเหมือนห้องสักห้องในบ้านตัวเอง เธอชอบทำตัวกันเอง เวลาลูกค้าเข้าก็จะมาขยันถูๆไถๆ อีตรงที่เขายืนทำธุระอยู่นั่นแหละ..ไปที่ไหนทั่วประเทศก็เหมือนๆกัน ยิ่งตามปั๊มข้างทาง ไปที่ไหนมักจะเจอ เข้าไปยืนปุ๊ปเธอก็จะเข้ามาถูๆๆ ข้างๆ  ต้องค่อยส่ายหลบ บางรายมากกว่านั้น โถฉี่ผู้ชาย ตามปั๊มมักจะติดเป็นแถวยาว อยู่หลังอาคาร โล่งๆ เธอก็ชอบนั่งพักอีตรงนั้นแหละ ถ้าเธอเงยหน้าขึ้นมา...ก็...ยังกะงานประกวด ขาวมั่ง ดำมั่ง ชมพูมั่ง..ฯลฯ   แบบนี้ยังกะว่ามันเป็นสิ่งที่แม่บ้านทุกคนต้องทำเหมือนๆกัน  ไม่รู้ว่าผมสังเกตุมากไปหรือเปล่า แต่ก็เห็นบ่อยมากๆ
  วันนี้ห้องน้ำก็อยู่ไกลมาก สุดตึกที่เรานั่งอยู่เลย กว่าจะเดินไปถึง ขนลุกเลย...อุตส่าห์กำหนดใจอดทนค่อยๆเดินไป พอถึงประตูห้องน้ำเปิดเข้าไป ก็ไม่เห็นมีคน ก็วิ่งเข้าไปเลย ไม่ต้องอายใครแล้ว..!! เข้าไปได้ก็วิ่งเข้าหาโถฉี่เลย.เพราะว่าในนั้นไม่มีคนเลย ..!!ไม่ต้องเกรงใจใครกันแล้ว ..!!.ด้วยความด่วน ยังไม่ทันถึงโถก็เตรียมควักแล้ว .. เรียกว่าเดินไปเตรียมไป... จังหวะพอดียังไม่ทันได้ควักเลย..บังเอิญ  หางตาเหลือบไปเห็นอะไรสักอย่าง ก้อนดำๆแอบอยู่หลังประตู มันเป็นมุมที่ถ้าใครเข้ามาแล้วไม่ตั้งใจมองก็ไม่มีทางเห็น...ตกใจ..!!รีบหยุดพฤติกรรมเสี่ยงทันที ต้อวข่มใจข่มกายต่อไปอีกสักสามสี่ก้าว  คิดออกไหม?ว่าใจมันจะปลดปล่อยอยู่แล้ว ข้าศึกจะพังประตู.. แต่มันต้องถูกหยุดกระทันหัน รู้สึกไหมว่ามันจะขนลุกขนาดไหน..?? เกือบเลยละ..!!! เกือบทำน่าเกียจต่อหน้าสาวๆไปแล้วเชียว...!!
   ฝากข้อร้องเถอะ ใครที่มีเพื่อนมีญาติ ที่ทำหน้าที่นี้ ฝากบอกว่า เลือกเวลาทำงาน เลือกที่นั่งเล่นหน่อยเถอะ..คนมันอายรู้ไหม..??? 
   

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ภาษีเพื่อสังคม

นิทาน เรื่อง คำพิพากษา

หญิงชราคนหนึ่งตกเป็นผู้ต้องหา
คดีลักขโมยขนมปังหนึ่งก้อน

หญิงชรามีท่าทีเศร้าหมอง 
และภายใต้ความเศร้านั้น
ก็มีความละอายแก่ใจอยู่ด้วย  

ผู้พิพากษา ถามหญิงชราว่า “คุณขโมยขนมปังไปจริงหรือ”

หญิงชราก้มหัวตอบอย่างหดหู่ “ฉันขโมยขนมปังจริงๆ ค่ะท่าน”

ผู้พิพากษาถามต่อว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงต้องขโมยขนมปัง 
 คุณไม่มีอะไรจะกินหรือ”

หญิงชราเงยหน้าขึ้นบอกผู้พิพากษา 
“ใช่ค่ะ ฉันหิวมาก 
 แต่ฉันไม่ได้ขโมยขนมปังไปเพื่อกินเอง 
 ลูกเขยของฉันทิ้งครอบครัวไป 
 ลูกสาวของฉันล้มป่วย 
 หลานสองคนของฉันไม่ได้กินอะไร
 มาหลายวัน 
 ฉันไม่อาจทนเห็นหลานตัวเล็กๆ ทนหิวได้”

ห้องพิจารณาคดีเงียบกริบ
หลังได้ฟังคำอธิบายของหญิงชรา

ผู้พิพากษากล่าวกับหญิงชราว่า “ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย 
 สำหรับข้อหาขโมยขนมปัง
 คุณเลือกเอาว่าจะจ่ายค่าปรับ 10 เหรียญ 
 หรือติดคุกเป็นเวลา 10 วัน”

หญิงชราตอบ 
“ท่านผู้พิพากษา 
 ฉันยอมรับโทษในทุกสิ่งที่ฉันทำ 
 หากฉันมีเงิน 10 เหรียญ 
 ฉันจะไม่ขโมยขนมปังหรอก 
 ดังนั้น โปรดจำคุกฉันเถิด 
 แต่สิ่งเดียวที่ฉันห่วง คือ
 ใครจะดูแลลูกสาวและหลานของฉัน
 ในช่วงเวลาที่ฉันติดคุก”

ผู้พิพากษาหยุดคิดพักหนึ่ง 
แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋า
หยิบธนบัตรสิบเหรียญขึ้นมาถือในมือ 
แล้วกล่าวว่า 
“ผมจะจ่ายค่าปรับให้คุณสิบเหรียญ 
 คุณกลับบ้านไปได้”

ผู้พิพากษาหันไปพูดกับ
คนที่มาฟังการพิจารณาคดีในที่นั้นว่า 
“นอกจากนั้น ผมขอปรับทุกคนในห้องนี้
 คนละ 50 เซนต์ โทษฐานที่พวกคุณเมินเฉย
 และไร้น้ำใจในสังคม 
 หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะต้องขโมยขนมปัง
 เพื่อประทังชีวิตหลานและคนในครอบครัว
 หากพวกคุณให้การช่วยเหลือเธอ 
 จึงขอเก็บเงินจากทุกคน คนละ 50 เซนต์ 
 แล้วมอบเงินนั้นให้ผู้ต้องหา”

ทุกคนในที่นั้น
รวมไปถึงเจ้าของร้านขนมปังที่ฟ้องร้อง
นำหญิงชรามาขึ้นศาล 
ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และผู้มาฟังการตัดสิน
รู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วม
ในการจ่ายค่าปรับคนละ 50 เซนต์ 
พวกเขายอมรับและยืนขึ้นปรบมือ
ชื่นชมผลการตัดสิน

วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์ลงข่าวการมอบเงินค่าปรับ
จำนวน 47.5 เหรียญ 
ให้กับหญิงชราผู้น่าสงสาร
เพื่อนำไปซื้ออาหารให้ครอบครัว

"ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกข์สุขของกันและกัน 
 และหากมีอาชญากรรม
 เนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้
 เกิดขึ้นในชุมชน 
 นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วน
 เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"

เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน 
หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม 
เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน 
เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่ง
ถูกลืมไปจากสังคม

Cr. เจ้าของเรื่อง
#GTOZa

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562

วิธีหุงข้าวให้น้ำตาลหายไป 70%

อ.ปานเทพ พัวพงศ์พันธ์
มหาวิทยาลัยรังสิต
   ........................
“วิธีการหุงข้าวที่สามารถลดน้ำตาลได้ 70% ”  หนึ่งในเคล็ดลับที่ผมใช้กับครอบครัวของผมมาตลอด 3 ปี และเป็นหนึ่งในหลายๆวิธีที่ผมใช้ดูแลตัวเองจนสามารถใช้ชีวิตโดยไม่มียาเข้ามาในร่างกายแม้แต่เม็ดเดียว (รวมทั้งพาราเซ็ทตามอล) มาตลอด 3 ปี 5 เดือน  หนึ่งในนั้นก็คือวิธีการหุงข้าวที่ลดน้ำตาลลงไปได้ถึง 70%..!!

  วิธีการดังกล่าวนี้ ได้มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ได้ผลเป็นที่ยอมรับและที่สำคัญ ได้ถูกตีพิมพ์ลงบนวารสารทางการแพทย์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งชื่อของผู้ค้นพบก็อยู่ในภาพที่ผมนำมาให้ดูแล้ว คือ Sudhiar A James.

  วิธีการหุงข้าวเพื่อให้น้ำตาลลดลง 70% นั้นก็ง่ายแสนง่ายครับ เพียงแค่เรานำน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ย้ำว่าสกัดเย็นนะครับไม่ใช่ cooking oil( ยี่ห้อไหนก็ได้ครับ )ใส่ลงไปในขณะเริ่มต้นหุงข้าวเพียง 2 ช้อนชาเท่านั้น และก็ทำการหุงเหมือนเดิมทุกอย่าง จนข้าวสุก “ แต่ยังทานไม่ได้ครับ “ ให้นำข้าวที่สุกนั้นมาแช่ตู้เย็นไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง (1 คืน) และก่อนที่จะนำข้าวมาทานก็ให้ทำการอุ่นใหม่อีกรอบนึง เพียงเท่านี้ ทุกท่านก็จะมีข้าวที่มีน้ำตาลลดลงไปจากปรกติ ถึง70% ทานกันแล้วครับ   ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่า น้ำมันมะพร้าวจะเข้าไปทำปฎิกิริยาเปลี่ยนโครงสร้างแป้งที่มีในเมล็ดข้าวให้สามารถทนทานต่อการเปลี่ยนเป็นน้ำตาลภายหลังจากการสัมผัสเอนไซม์ที่อยู่ในน้ำลายของเรา ลดลงไปได้มากถึง 70% ครับ
   
   ใครๆก็ทราบนะครับว่า ข้าวคือแป้ง และเมื่อโดนเอนไซม์ที่อยู่ในน้ำลายของเราก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล  และคนไทยก็ทานข้าวกันเป็นวัฒนธรรม ยากที่จะลบความเคยชินในการ ไม่กินข้าว และหลายท่านก็ทราบใช่มั๊ยครับว่า แท้ที่จริงแล้วน้ำตาลส่งผลร้ายต่อร่างกายของเรามากกว่าผลดี เช่น โรคเบาหวาน และเมื่อเราเป็นโรคเบาหวานแล้ว ก็ตามมาอีกหลายโรค และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ “น้ำตาล เป็น อาหารที่สำคัญของเซลส์มะเร็ง” เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องนำตัวเองออกห่างจากความหวานให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้

 หากร้านอาหารร้านใด จะนำวิธีการหุงข้าวดังกล่าวนี้ ไปใช้เป็นเมนูพิเศษ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ ผมก็ยินดีนะครับ เพราะนอกจากจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอาหารเมนูนั้นแล้ว  ยังจะทำให้ร้านร้านนั้นๆเป็นร้านที่อินเทรนด์ เกาะกระแสสังคมรักสุขภาพ ซึ่งจะต้องแม่นเรื่องการใช้ข้อมูลมาประกอบการทำอาหารอีกด้วยครับ หรือจะนำภาพที่ผม post นี้ ไปอธิบายเพิ่มเติมกับลูกค้าก็ยินดีครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดี สถาบันแพทย์แผนบูรณาการ และ เวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นอย่างสูงครับ

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

วิธีสู้มะเร็ง

ได้ข้อมูลจาก คุณ พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร  มติชน

อ่านเลย! มีประโยชน์ช่วยคนได้ครับ....
ท่านผู้นี้ชื่อจริงไชยวรรณ พิมพนิช คนส่วนมากเรียกติดปากว่าพ่อเลี้ยงวรรณ เป็นคนแม่สอดจ.ตาก มีอาชีพทำการเกษตร ปลูกมันสำปะหลังปลูกอ้อย ปลูกส้ม สุดท้ายก็มาปลูกกล้วยส่งต่างประเทศ ก็ทำมาสิบกว่าปีแล้ว

มีลูกชายสามคนจบปริญญาโทด้านการเกษตรทั้งสามคน คนโตเรียนพืชไร่ คนที่สองเรียนพืชสวน คนที่สามเรียนส่งเสริมการเกษตร ปัจจุบันอายุก็หกสิบกว่าแล้ว ปกติจะเป็นคนชอบออกกำลังกาย สุขภาพก็แข็งแรงดี เพื่อนๆหรือคนรู้จักจะชมว่าทำไมอายุมากขนาดนี้ถึงแข็งแรงเดินเหินได้สบาย

@ เข้าตรวจอาการที่โรงพยาบาล @

อยู่มาไม่นานเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเกิดอาการปวดที่หลังและไม่หายประมาณ 2 เดือนกว่า รักษาหลายวิธีทั้งแช่น้ำอุ่นและให้หมอนวด ก็ไม่หาย วันหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่กรุงเทพฯเพื่อนเป็นหมอ อาตมาเล่า(ขณะที่เล่า..บวชแล้ว)
ให้เพื่อนฟังว่าปวดหลังมา สองเดือนกว่าแล้วไม่หายสักที เพื่อนก็นิ่งแล้วมองหน้ากันเขาไม่พูดอะไร สักพักเพื่อนก็พูดขึ้นมาว่าเอกซเรย์หน่อยดีไหม เพราะคนปกติปวดธรรมดาทั่วๆไป กล้ามเนื้ออักเสบเอ็นพลิก ใช้เวลาประมาณ 3 อาทิตย์ก็หายแล้ว แต่พ่อเลี้ยงวรรณ ปวดจากหลังลามมาถึงหน้าอก 2 เดือนแล้วไม่หายต้องเอกซเรย์หน่อย

พอเอกซ์เรย์เสร็จ ก็เห็นว่ามันมีรอยจุดด่างๆอยู่ 2 จุด หมอบอกว่ายังไม่แน่ใจนะต้องเข้าเครื่องสะแกน เข้าเครื่อง
สะแกน 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่ทราบผล พอออกมาจากเครื่องสะแกนก็กลับบ้าน หมอบอกว่า 10 โมงเช้าพรุ่งนี้ค่อยมาฟังผล เพราะ
ฟิมล์ผลตรวจจะออกมาวันพรุ่งนี้

รุ่งขึ้น 10 โมงเช้าก็ไปโรงพยาบาล มีหมอ 4-5 คนอยู่ในห้องคุณหมอที่เป็นเพื่อนสนิทกันพูดขึ้นมาว่า ไม่น่าจะเกิดกับเพื่อนเราเลย อีกประมาณ 20 นาทีก็ให้หมอผู้หญิง ที่เป็นหมออายุรกรรมมาบอกว่า พ่อเลี้ยงวรรณ ต้อง ( ATMID) แอดมิด แล้วละ หมายถึงต้องนอนที่โรงพยาบาล

ตกลงวันนั้นก็ต้องนอนโรงพยาบาล หมอก็เอาเลือดไปตรวจเข้าเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตรวจคลื่นหัวใจ วันนั้นผลเลือด หมอส่วนใหญ่ก็จะรู้แล้วว่าเป็นมะเร็ง เพราะว่า PHA ค่าของเลือดอยู่ที่ 300.800 สำหรับคนปกติ จะอยู่ที่ 000.000-4.0000 ถัดไปประมาณ 2-3 วันหมอก็ตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ แล้วลงมติว่าเป็นมะเร็ง

หลังจากทราบผลว่าเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังขั้นสุดท้าย ก็ตกใจช็อกไปประมาณ 20 นาที 20 นาทีที่บอกไม่ถูก เป็น 20 นาทีที่ทรมานมาก ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี ความดันก็ขึ้นไป 180 จากปกติ 110

ถึงขั้นสุดท้ายแล้วจะทำยังไงดี หมอบอกว่าต้องให้คีโม
( เคมีบำบัด ) ต้องฉายแสง ต้องฝังแร่ ก็เลยถามกลับไปว่า ถ้าฝังแร่แล้วอยู่ได้นานเท่าไหร่ หมอบอกว่าอยู่ได้ปีหนึ่งไม่รับรองมากกว่านี้ พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่อเมริกา เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง เขาบอกให้ไปที่นั่น เขาจะดูแลให้ ก็ถามเขาว่าไปแล้วจะให้ไปทำอะไร เขาบอกให้ไปฝังแร่ ผมก็ไม่ไป ยังไงหนึ่งปีก็ตายอยู่แล้วจะไปทำไมให้เสียเงิน

@ ตัดสินใจบวชหนีโรคร้าย @

ตัดสินใจเข้าวัดปฏิบัติธรรมอยู่ 1 อาทิตย์ ก็เลยนั่งคิดต่อว่าถ้าอยู่แต่ที่วัดจะรอดไหม น่าจะสู้กับมัน จะต้องสู้ให้ได้ จะต้องชนะ ชีวิตเกิดมาเพียงแค่ชีวิตเดียวอยู่ๆจะมายอมตายง่ายๆได้อย่างไร

ผมคิดขึ้นมาได้ว่ากษัตริย์สีหนุ ท่านเคยเป็นมะเร็ง เมื่ออายุ 40 กว่าปีก่อนไปรักษาที่ต่างประเทศเวลานี้อายุตั้ง 90 ปียังมีชีวิตอยู่ คิดถึงตรงนี้ เลยโทรศัพท์หาน้องที่เป็นกงสุลใหญ่อยู่ต่างประเทศ ตรวจสอบข้อมูลทราบว่าที่ประเทศที่สาม
( เกาหลีเหนือ ) มีสถานที่บำบัดมะเร็งจริงแต่การเดินทางไปลำบากมาก

@ หนีความตายไปประเทศที่สาม @

มะเร็งระยะสุดท้าย ฟังแล้วน่ากลัวจริงๆ หนทางรอดแทบไม่มี จึงตัดสินใจทำพินัยกรรมให้ลูกๆแล้วรวบรวมเงินทองที่หามาได้ตลอดชีวิตเดินทางไปประเทศที่สามเผชิญความตายด้วยใจสงบ ถ้าโชคดีคงได้กลับมาอีกมันเป็นภาวะจนตรอกที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต ถึงแม้ชีวิตของคนเราจะเกิดมาแล้วต้องตายกันทุกคน แต่ถึงวินาทีนั้นคนเราต่างก็กลัวความตายโดยสัญชาตญาณ อยากจะยืดชีวิตต่อลมหายใจออกไปอีก

นั่งเครื่องบินไปลงที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วจึงนั่งรถยนต์ไปอีก 8 ชั่วโมง แทบเอาตัวไม่รอดสุดทรมานโดยเฉพาะช่วงที่นั่งบนเครื่องบิน นั่งพิงเบาะไม่ได้ ปวดหลังอึดอัดทรมานมากนั่งเอามือเกาะเบาะด้านหน้าร้องโอดครวญตลอดการเดินทาง น้ำตาลูกผู้ชายมันหยดไหลอย่างไม่รู้ตัว นึกในใจว่าการเดินทางครั้งนี้คงไม่ได้กลับเมืองไทยอีกแล้ว ยิ่งช่วงการเดินทางโดยรถยนต์ไปยังประเทศที่สาม ลำบากมากทั้งเจ็บปวดสุดทรมานตลอดการเดินทาง 8 ชั่วโมงเต็ม

ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแต่เป็นศูนย์บำบัดตั้งอยู่บนเขา ผู้ที่มาบำบัดรักษาส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป อเมริกา อาหรับ ญี่ปุ่น คนไทยมีอาตมาเพียงคนเดียว เน้นการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด ใช้แสงตะวัน ใช้สายน้ำ ใช้หิมะ อาหารทุกอย่างต้องสด

คนป่วย 1 คน จะมีพยาบาลประจำตัว 1 คนดูแลเราอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เช้า 05.00-20.00 น.ไปไหนไปด้วยกันนอนด้วยกัน ดูแลทุกย่างก้าว เข้าห้องน้ำก็ไปนั่งเฝ้า เป็นพี่เลี้ยงตลอด อาบน้ำก็ไปดูว่าน้ำได้อุณหภูมิไหม อุ่นพอไหมเย็นพอไหม อาหารการกินก็กินโอสถ เน้นธรรมชาติล้วนๆ อยู่ที่นี่ยาสักเม็ดก็ไม่มี

ศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งนี้ จะมีคอร์สบำบัดรักษา 30 วัน 60 วัน และ 90 วัน ของผม 30 วันอาการก็ดีขึ้นมาก ผิดกับตอนที่มาใหม่ๆ เจ็บปวดจนทนไม่ไหว คนที่มาที่นี่ป่วยเป็นมะเร็งทุกชนิดบางคนปฏิบัติตัวได้ตามที่เขาให้ทำให้กินก็ประสบความสำเร็จ

ในแต่ละวันตื่นเช้าขึ้นมาประมาณ 05.00น.ก็จะเอาน้ำโอสถมาให้ดื่ม 1 ลิตร รสชาดจืดชืดสีเขียวเข้ม เวลาประมาณ 06.30น. ก็จะพาไปเดินออกกำลังกาย แล้วพาไปรับแสงตะวัน เรียกว่าแสงตะวันบำบัด นั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่ง ไปกลับวันละ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะพาเดินบนหิมะประมาณ 1 ชั่วโมงทุกวัน เสร็จแล้วมาประคบน้ำอุ่นที่ฝ่าเท้า ถามเขาว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ เขาบอกว่าเพื่อสร้างภูมิภูมิต้านทานขึ้นมา บางคนก็ทำไม่ได้ ทำได้ประมาณ 20-30 % แต่ของอาตมาอาศัยเป็นนักกีฬาเก่า วันแรกก็ไม่ไหวเหมือนกันเย็นจัด วันที่สองวันที่สามก็เริ่มทำได้ และทำได้มาตลอด พอทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีขึ้น ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ

สำหรับโอสถสีเขียวเข้มจะดื่มช่วงเช้า 1 ลิตร บ่าย 1 ลิตร ตอนเย็นอีก 1 ลิตร และก่อนนอนอีก 1 ลิตร วันหนึ่งจะดื่มโอสถวันละ 4 ลิตร น้ำนี้น่าจะเข้าไปช่วยกำจัดอาจจะเป็นน้ำที่เชื้อมะเร็งไม่ชอบ เอาไปล้างพิษในร่างกายออกมา
เพราะเรากินเข้าไปวันละตั้ง 4 ลิตรก็ต้องมีการถ่ายเทออกมา แต่เป็นเรื่องที่แปลกนะ เวลาเรากินน้ำกินยาแคปซูลอะไรก็แล้วแต่ เวลาเราปัสสาวะออกมาจะเป็นสีเหลือง แต่เวลาเราดื่มโอสถพวกนี้เวลาปัสสาวะออกมาก็ยังใส แสดงว่ามันเอาไปใช้หมด เป็นเรื่องที่แปลก ใสกว่าปกติด้วยซ้ำไป

ช่วงไปอยู่ทีนั่นใหม่ๆนอนหงายไม่ได้ มันปวดหลังมากต้องนอนคว่ำเหมือนจระเข้ หลังมันปวดร้าวไปหมดเพราะถูกมะเร็งทำลายไปเยอะรวมไปถึงหัวเข่าด้านซ้ายด้วย เวลานั่งหลังก็พิงไม่ได้

เรื่องอาหารการกิน เขาจะให้ทานข้าวบาร์เลย์ กับข้าวก็เป็นกับข้าวพื้นๆไม่มีอะไรมากมายเน้นผักเป็นส่วนใหญ่ ผักที่นี่เขาปลูกเอง ปลูกในกระโจม ปรับอุณหภูมิและไร้สารพิษ ดินที่ใช้ปลูกเปลี่ยนทุก 3 เดือน

เขาบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดล้วนๆแต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ค่าใช้จ่ายต่อวันเขาคิด 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ผมอยู่ที่นี่ 30 วัน ปฏิบัตตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดมีระเบียบวินัย ถึงเวลาออกกำลังกายก็ต้องออก พักผ่อนก็ต้องพักผ่อน ถึงเวลากินก็ต้องกิน มั่นใจว่าดีขึ้นแน่ อาการป่วยของผมดีขึ้นตามลำดับ เพียง 10 วันแรกเราจะสัมผัสได้เลยว่าเรามาถูกทางแล้วอาการปวดเริ่มลดลงๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้น ผิดกับวันแรกๆที่นอนร้องโอดโอยตลอดเวลา พอร่างกายแข็งแรงก็ขยับตัวเองไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยคนอื่นต่อ ก็คิดว่าเราน่าจะนำวิชาความรู้เหล่านี้ไปช่วยเหลือเพื่อนคนไทยที่ต้องทุกข์ทรมานกับมะเร็งร้าย ถ้าจะให้ดีต้องบุกครัวเข้าไปช่วยในครัวจะได้จดจำโอสถยาให้ได้ แต่โชคร้ายเขาไม่อนุญาต

ผมจึงตัดสินใจว่าไหนๆก็เดินทางมาถึงที่สุดของชีวิตแล้ว จึงทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบเขาจนกระทั่งเขาสงสาร จึงอนุญาตให้เข้าไปช่วยในครัว
คิดถึงบ้านขอกลับ

ผมรู้สึกร่างกายเราแข็งแรงแล้วเราไม่ตายแล้ว คิดถึงบ้านก็เลยขอกลับ เขาก็มาตรวจร่างกาย เขาบอกร่างกายแข็งแรงดีเขาก็ให้กลับ

ระหว่างนั่งอยู่บนเครื่องบินก็คิดว่าเราน่าจะกลับไปช่วยคนที่เป็นมะเร็งได้ เพราะคนที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง
ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งตรงไหนก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่ 90 % จิตใจมันตายแล้ว มันเหลือแค่ 10 % เท่านั้นในร่างกาย จะมีสักกี่คนที่ใจสู้แล้วยอมหาวิธีรักษาตนเอง มีน้อยมาก ผมตั้งใจว่าถ้ากลับถึงเมืองไทยจะช่วยคนที่เป็นมะเร็ง ถึงช่วยได้ไม่ถึง 100 % ช่วยได้ 50 % ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว

กลับมาเลยปรึกษาญาติๆว่าจะตั้งมูลนิธิเป็นของตัวเองชื่อว่ามูลนิธิวรรณ จุดเป้าหมายก็คือ ดูแลพวกที่เป็นโรคร้ายเกี่ยวกับมะเร็ง ส่งเสริมให้การศึกษาเด็กดีขยันเรียน คืนป่าให้แผ่นดิน มูลนิธิเราคงมีรายได้จากการปลูกผักไร้สารจากอำเภอแม่สอดจังหวัดตากส่งมาขายที่กรุงเทพฯ หลายคนพอทราบข่าวก็ยินดีให้การสนับสนุน

หลังจากกลับจากต่างประเทศแล้วก็ไปตรวจร่างกายตรวจเลือดที่โรงพยาบาลที่เคยตรวจ ผลเลือดที่เรียกว่า PHA ( ช่วงที่ป่วยก่อนรักษาอยู่ที่ 311.800) หมอใช้เวลาตรวจ 6 ชั่วโมง วัดได้ 5.090 ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 ไปตรวจอีกครั้งวัดได้ 0.268 หมอไม่แน่ใจส่งเลือดไปให้โรงพยาบาลอีก 2 แห่งตรวจอีก ผลการตรวจออกมาตรงกันหมด ถือว่าเยี่ยมแล้ว คนปกติทั่วไปที่ไม่มีเชื้อมะเร็ง จะอยู่ที่ 0.000-4.000 ของเราเลือดดีกว่าคนปกติอีก

หมอถามว่าไปทำอะไรมา อาตมาบอกไปรักษามา อาตมาไม่ยอมตาย คิดว่ามะเร็งยังหลบอยู่ในตัวเรา แต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน เราก็ไม่ชะล่าใจ มะเร็งเกิดจากภูมิบกพร่องของชีวิต มันต้องการอาหาร อาหารโปรดของมันคือ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ทุกชนิด ซึ่งเราก็ไม่ให้มันกินเลย

มะเร็งถ้าเราไม่ให้อาหารมัน มันก็จะฝ่อ และอ่อนแรง เราไม่ให้กินนานๆเข้ามันก็จะตายในที่สุด บ้านเราผู้ป่วยใหม่ที่เป็นมะเร็งมี 284 คน/วัน ตายชั่วโมงละ 11 คน เราต้องมาปรับเปลี่ยนวิธีกินอยู่กันใหม่

การเจริญเติบโตของมะเร็ง เขาจะก้าวกระโดด จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 บวกขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นคนที่ป่วยเป็นมะเร็งส่วนใหญ่ที่ตายเพราะโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด มะเร็งหยุดได้ถ้าใจสู้”

“ เราต้องมีวินัยถ้ามีวินัยเราสามารถหยุดมะเร็งได้ ต้องยึดกฎเหล็กดูแลเรื่องอาหารการกิน การปฏิบัติตัว สิ่งแวดล้อมอากาศบริสุทธิ์ การออกกำลังกาย ผมอาจจะมีบุญเพราะเป็นมะเร็งแต่ไม่เคยคิดว่าเป็นมะเร็ง คิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรถึงจะชนะ ทำอย่างไรถึงจะมีชีวิตที่ยืนยาวดูแลลูกเต้าต่อไป ไม่เคยกังวลเลย
แล้วเรื่องพืชผักต้องไร้สารจริงๆไม่ใช่ปลอดสาร ไร้สารคือดูแลการปลูกตั้งแต่เริ่มต้นจนเก็บเกี่ยวจะไม่ใช้ยา แต่ถ้าปลอดสารคือใช้เคมีพอใกล้วันเก็บเกี่ยวประมาณ 15 วันก็จะหยุดใช้สารเคมีอันนี้ไม่ปลอดภัย จะมีสารตกค้างตามมา”
มะเร็งไม่น่ากลัวอย่างที่คิดถ้าเรารู้จักวิธีป้องกันดูแลสุขภาพเราก็สามารถชนะมันได้ขอเพียงอย่างเดียวจิตใจต้องเข้มแข็ง

บางรายเกิดวิตกจริตนอนไม่หลับเพราะญาติพี่น้องเสียชีวิตเพราะมะเร็งไม่รู้จะถึงตัวเองเมื่อไหร่ หลายรายทำตามคำแนะนำของพ่อเลี้ยงวรรณอาการดีขึ้นทันตาเห็น

ปัจจุบันพ่อเลี้ยงวรรณมีโครงการสร้างศูนย์ธรรมชาติบำบัดที่สวนเกษตรของพ่อเลี้ยงเองที่ อ.แม่สอด จ.ตาก
ผมเลยแนะนำพ่อเลี้ยงให้สร้างหิมะเทียมขึ้นเอง ในอนาคตเราคงได้เห็นศูนย์ธรรมชาติบำบัด ของมูลนิธิวรรณ ในเมืองไทย ซึ่งที่ อ.แม่สอด จ.ตากอากาศดีมาก นอกจากได้สูดอากาศบริสุทธ์แล้วยังมีแปลงเกษตรไร้สารพิษอีกด้วย

พ่อเลี้ยงวรรณมีปณิธานว่าสำหรับผู้ยากไร้ มูลนิธิวรรณจะรักษาให้ฟรี สำหรับผู้มีอันจะกินให้สนับสนุนค่าโอสถเพียงวันละ 100 บาท ทางมูลนิธิจะจัดส่งโอสถไปให้ เรียกว่าคนมีฐานะช่วยคนด้อยโอกาสนะครับ ถ้าท่านอยากทราบรายละเอียดและขอคำ
ปรึกษาเรื่องการดูแลสุขภาพเพิ่มเติม ติดต่อมูลนิธิวรรณ(ปัจจุบันลูกชาย-ภรรยาดูแลอยู่) เลขที่ ๓/๖๘๑ ประชานิเวศน์ ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ ลาดยาวจตุจักร กรุงเทพฯ โทร. ๐-๒๑๕๘-๐๖๕๘

ช่วยกันเผยแพร่นะครับ ได้บุญ

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2562

ไตรลักษ์

ลิขิต...พระอาจารย์พุทธทาส
"มัน เกิดขึ้น -ตั้งอยู่- แล้วดับไป"
นี้เป็นมนต์ บทใหญ่ ใช้เมื่อ "ได้"-
ซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุขใจกาย
ไม่เมามาย ลืมตัว หรืองัวเงีย,

"มันเกิดขึ้น -ตั้งอยู่- แล้วดับไป"
ก็เป็น มนต์ บทใหญ่ ใช้เมื่อ "เสีย"-
ซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญสุข แม้ลูกเมีย
ไม่อ่อนเปลี้ย สับสน หรือวุ่นวาย,

"มัน เกิดขึ้น -ตั้งอยู่- แล้วดับไป"
ใช้ เป็นมนต์ บทใหญ่ ครั้ง "สุดท้าย"
เป็น อาวุธ สัประยุทธ์ กับความตาย
แสน สบาย เพราะก้าวล่วง จากบ่วงมารฯ


 


 


ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เปลี่ยนแปลง-แล้วดับไปทั้งสิ้น
เป็นอนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา......


 


อนิจจัง(ความไม่เที่ยง)
ทุกขัง(ความไม่่คงทน, ทุกสิ่งล้วนเป็นทุกข์)
อนัตตา(ความไม่มีตัวตน)
หรือไตรลักษณ์ คือ สภาพธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง


 


ทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนเกิดขึ้น และตั้งอยู่ และดับไปแต่ละขณะ  
ชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง
เกิดขึ้นและดับไปอยู่ทุกขณะ
เป็นการถ่ายทอดพลังงาน แสง เสียง และพลังงานในรูปแบบต่างๆ
เกิดขึ้นและดับไปอย่างบริสุทธิ์ 


 


เมื่อความจริงเช่นนี้ อดีตจึงไม่มี อนาคตจึงไม่มี
มีแต่การเกิดขึ้นและส่งการพลังงานอย่างบริสุทธิ์
โดยไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีสิ่งนั้นสิ่งนี้
เป็นเพียงแต่การถ่ายทอดของพลังงานบริสุทธิล้วนๆ


  


แต่เรามักไม่ทราบความจริงในข้อนี้
จึงมักนำความทรงจำ ในอดีต มาเปรียบเทียบ ให้เกิดความสุขความทุกข์
สิ่งนั้น สิ่งนี้ ทุกสิ่งเป็นเพียงการปรุงแต่ง  
ชีวิตเป็นไปตามครรลองของพลังงานเท่านั้น
หรือจะพูดอีกอย่างว่ามันเป็นของมันเช่นนั้นเอง (ตถตา)
หรือทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุและปัจจัย(อิทัปตยตา ปฏิจสมุทบาท)


 


วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2562

แก้เลือดเป็นกรด

บทความของ หมออารีย์ วชิรมโน ซึ่งท่านเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วยและสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี

ท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายครับ ตอนนั้นเมื่อปี 2551 ท่านมีอายุได้ 81 ปี     และคุณหมอเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้งใหม่ โดยต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบำบัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่สุด..หายด้วย ..เอาล่ะซิ

ตอนอื่นก็มาทางเดียวกับผมนั่นแหละครับเพราะธรรมชาติบำบัดก็เหมือน ๆ กันหมด คือกลับไปที่ “สมดุล” แต่ตอนที่ผมประทับใจคือ !!  การล้างกรองอากาศของท่าน ในที่นี้ ก็คือการหายใจเพื่อขับพิษในปอด ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ครับ .....

“การแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่าง กินพืชผักผลไม้ให้มาก ๆ เพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามามาก ๆ เพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรด เพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อย

ท่านทำอย่างไรรึ!!!! ตามมา......

เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่สุด เวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรองคือขนจมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย  การหายใจเข้าให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย  ครั้งแรก กลั้นไว้  ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓ กลั้นไว้ เหมือนใจจะขาด  พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัวลง อ้าปากเอาพิษออกให้หมด  ยิ่งทำบ่อยเท่าไหร่ ปอดท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่  ของเสียออกมาเต็มที่  ปอดมีความจุสองข้างประมาณ ๓ ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตรครึ่ง  แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่ อากาศเข้าออกเพียงครึ่งลิตรเท่านั้น บางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศไม่เคยเป่าหม้อกรองตัวเองเลย  ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้ แต่เราต้องบริหารการหายใจ จะทำให้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด

แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกำลังกายโดยการเตะฟุตบอล หรือพวกหักโหมจนเกิดความเครียดล่ะ..ท่านกล่าวไว้ว่า

นั่นไม่ใช่การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ แต่เป็นการออกกำลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกาย เป็น unaerobic   เราต้องรู้ว่าการออกกำลังกายแบบ aerobic กับ unaerobic เป็นยังไง  การออกกำลังกายแบบ aerobic ร่างกายต้องเกิดด่างและได้ออกซิเจน  แต่ unaerobic ได้คาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้ร่างกายเกิดกรด ร่างกายก็เสื่อม  คนที่ไปเต้นแอโรบิกทุกวันนี้ยังทำผิด เต้น ๆ แล้วเกร็ง เครียด กลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก แต่ไม่ใช่แอโรบิก  แอโรบิกทำแบบไหนก็ได้ ไม่ต้องเครียด ให้สนุกสนาน  ถ้าเครียด ร่างกายจะเกิดกรด  ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิตเสีย เพราะต้องลุ้นแข่งขันกัน เครียดมั้ย ฉะนั้นนักกีฬาที่เล่นทุกวันนี้ นักฟุตบอล นักเล่นกล้าม นักวิ่ง มีใครอายุยืน... ไม่มีเลย เพราะร่างกายมันเสื่อม   มีการพิสูจน์แล้วว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการเดินเร็ว และให้ถูกแสงแดด  เพราะมันไม่เครียด ไม่เหนื่อย ไม่เกร็ง และเป็นการออกกำลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุล”