วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

5.2 ลีลาศจังหวะ บีกิน (Beguine)

จังหวะ บีกินเป็นการเต้นรำอยู่ในประเภท เบ็ดเตร็ด ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในมาตรฐานของโลก เป็นการเต้นรำประเภท 4/4 คือ มี จังหวะเท้า 4 จังหวะ และเป็นดนตรีประเภท 4 บีทใน 1 ห้องดนตรี
 
1.Basic Movement
1.ให้เริ่มต้นที่ ช.ก้าวไปข้างหน้า ด้วยเท้า ซ้าย นับ 1
2. ก้าวขวาไปหน้า นับ 2
3.ก้าวซ้ายไปหน้า นับ 3
4.ก้าวที่ 4 นี้สำคัญ เป็นจังหวะพัก ด่วยการดึงเท้าขวาตามมา ซึ่งส่วนมากมักจะ ดึงเท้าขวามาจนเสมอเท้าซ้าย(ปลายเท้าเสมอกัน)ซึ่งตามประสบการณ์แล้ว ทำให้เดินเท้าผิดเสมอ อีกทั้งเดินเกิดการขย่มอีกด้วย จึงแนะนำให้ (**อันนี้เป็นเทคนิค) ดึงเท้าขวามาเพียงแค่ ปลายเท้าขวาไม่ถึงส้นเท้าซ้ายโดยให้ห่างนิดหน่อย พอให้เข่าหย่อนนิดหน่อย
  ทั้ง 4 จังหวะนี้ ฝ่ายหญิง เดินถิยหลัง โดยออกเท้าซ้ายถอยหลังเป็นก้าวแรก เดินถอยหลังโดยฝ่ายชายเดินสอดเท้าตามฝ่ายหญิง จังหวะที่ 4 ของฝ่ายหญิง ให้ดึงเทัา ซ้ายเข้าหาเท้าขวา โดยดึงเพียงให้เข่าหย่อนเล็กน้อย ไม่ต้องดึงมาถึงขนาด ปลายเท้าเสมอกัน (**อันนี้ก็เป็นเทคนิค)จะเกิดการขย่มไม่สวยงามและ อาจใช้เท้าผิด ในการเดิน บาร์ต่อไป
     ในบาร์ต่อไปฝ่ายชายจะเป็นฝ่ายถอยหลัง และฝ่ายหญิงเดินหน้า สลับกันไป
   2.Under Arm Turn (หมุนใต้แขน ) 4/4   figure นี้ หมุนทางขวาของผู้หมุน และต้องหมุนในจังหวะที่ผู้หมุนกำลังเป็นจังหวะเดินถอยหลัง โดยหมุนไปเดินไป(อย่าหมุนอยู่กับที่ จะล้มง่าย)และอีกฝ่ายที่เดินตามมาจะชนเอา  และหมุนได้ทั้งหญิงและชาย โดยฝ่ายชายจะยกแขนที่จับมือ หญิงอยู่ให้สูงขึ้น เวลาหมุน(ฝ่ายไหนก็ได้) จะหมุนอยู่ใต้แขนตัวเอง
3.shoulder to shoulder(ไหล่ชนไหล่) in simple method  เห็นชื่อแล้วพอนึกภาพออกไหมครับ ไหล่ซ้ายชาย จะเกือบชนไหล่ขวาหญิง เมื่อเต้น figure นี้

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

5.1/3 ชวนคุยเรื่องลีลาศ version 5.1/3 เรียนรู้ก่อนเรียน 3

  =====ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเต้นรำ ในเรื่องทั่วไป====
  - Line Of Dance =  L.O.D คือแนวของการเต้นรำ ในแต่ละ figure ถ้าเป็นลาตินก็ สั้นๆ ในพื้นที่แคบๆ ที่คู่ตัวเองเต้นอยู่ บาง figure ออกข้าง บาง figure ไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ถ้าเป็น ballroom  ต้องเคลื่อนที่ตามกันไปรอบๆฟลอร์ ในทิศทาง ทวนเข็มนาฬีกา ใครเคลื่อนที่ช้าหรือ ก้าวสั้นๆก็อยู่ใกล้ ศูนย์กลาง (centre)ของฟลอร์  ส่วนใครก้าวยาว เร็ว ก็อยู่รัศมีนอกๆ การเต้น ballroom คือการเอา figure หลายๆตัวมาต่อ(link)กัน ขณะที่เต้นตามกันไปในทิศทางทวนเข็มนาฬีกา ก็ใช้ figure ต่อเนื่องไป โดย figure แต่ละ figure ของจังหวะ ballroom จะออกแบบให้เคลื่อนที่ไปทางซ้าย (ของฝ่ายชาย) เป็นส่วนมาก
- posistion (โพซิสชั่น=ตำแหน่งการยืน ของทั้งสองคน) คือตำแหน่งการยืนของคู่เต้นที่  มีมากมาย หลายวิธีมาก คงต้องใช้รูปประกอบ แล้วจะจัดมาให้ครับ
- ปริมาณพื้นของเท้าที่สัมผัสกับพื้นฟลอร์ อันนี้สำคัญครับ เพราะมีผลกับการเคบื่อนที่โดยตรง แต่ถ้าเต้นระดับเข้าสังคม ก็ต้องใช้แต่ไม่มากเท่าที่ต้องเต้นแข่งครับ
    - flat (Whole  foot) วางเต็มเท้า
    - inside edge ขอบด้านในของเท้า
    - outside edge ขอบด้านนอกของเท้า
    - Ball ครึ่งเท้า ด้านบน
    - toe ปลายเท้า ส่วนมากจะเป็น ปลายนิ้วหัวแม่เท้า (แซมบ้า ใช้เยอะมาก)
    -Hell ส้นเท้า
- C.B.M (Contrary Body Movement) เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนเต้นรำไม่ค่อยเข้าใจ จะเห็นชัดมากเมื่อเต้น Ballroom มห้ความสวยงาม และให้ประโยชน์ถึงความปลอดภัย กล้ามเนื้อไม่ถูกกระขาดมากเมื่อใช้ในจังหวะลาติน (จะกบ่าวถึงภายหลัง) ก็คือ การเคลื่อนที่แบบ..ลำตัวสวนบนกับทิศทางของการเคลื่อนที่ไม่ไปทางเดียวกัน อธิบายง่ายๆคือ เคลื่อนที่ไปด้วยบิดตัวไปด้วย (ปลายเท้าไปตามแนวเต้นรำ แต่ลำตัวบิดไปอีกทาง) หรือบางกรณี ไม่บิดตัวแต่ ตั้งแต่ปลายเท้าถึงหัวไหล่ หันไปอีกทาง แนวเต้นรำไปอีกทาง ...แต่..สำหรับผู้จะเรียนเพื่อออกกำลัง ยังไม่ต้องทำความเข้าใจมากก็ได้ครับ เดี๋ยวจะท้อเสียก่อน เก่งแล้วอยากได้ค่อยมาว่ากัน

5.1/2ชวยคุยเรื่องลีลาศ version 5.1/2 เรียนรู้ก่อนเรียน 2

เรียนรู้ก่อนเรียนเต้นรำ  2  
       เรื่องต่อไปที่จำเป็นต้องเรียนรู้ก่อนเรียนเต้นรำคือ คำศัพท์ที่จำเป็นครับ ซึ่งศัพท์เหล่านี้จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้เราเต้นรำเก่ง เร็วขึ้นมาก เนื่องจาก ชื่อ  ฟิกเกอร์(figure= ลวดลาย) ต่างๆของการเต้นรำจะตั้งขึ้นเหมือนอักษรภาษาจีนครับ กล่าวคือ ตั้งชื่อตามที่ตาเห็นครับ เหมือนอักษรภาพของภาษาจีน ดังนั้น การจำชื่อบางคำที่จำเป็นจะช่วยเราได้มาก เมื่อเราเห็นชื่อ หรือนึกถึง figure ไหน เราจะเดาได้ว่า อย่างน้อยต้องมีลักษณะ หรือรูปแบบการเต้นตามศัพท์ที่เรารู้จัก
         ====คำศัพท์ที่เกี่ยวกับชื่อ figure====
- Turn (เทินร์=การหมุน) หมายถึงการหมุนทั้งหมด ไม่ว่าจะหมุนมากน้อยแค่ไหน
- Natural(เนเชอรัล= ธรรมชาติ) ความหมายของคำนี้ในวิชาเต้นรำ มองว่า ทางขวาเป็นธรรมชาติมนุษย์ ครับ ถ้าเอาไปรวมกับคำว่า Turn  เป็น Natural Turn  ก็เป็นหมุนทางขวา ถ้าไปรวมกับคำว่า Basic Movement(การเต้นเบสิก ของจังหวะแซมบ้า) ก็เป็น Natural Basic Movement แปลว่า เต้นเบสิกของแซมบ้าโดยการใช้เท้าขวาไปข้างหน้า(คนไทยไม่ค่อยซ้อมตัวนี้ มักใช้เท้าซ้ายขึ้นหน้า ความจริงต้องฝึกด้วย
- Reverse (รีเวอร์ส =กลับ ,กลับทาง) วิชาเต้นรำมองคำๆนี้ให้แปลว่า กลับจากธรรมชาติมนุษย์ คือตรงข้ามกับ Natural  ดังนั้น ถ้า Natural แปลว่าทางขวา Reverse ก็ต้องแปลว่า ทางซ้ายครับ Reverse Turn ก็แปลว่า หมุนซ้าย ,Reverse Basic Movement ของ samba ก็คือ การเต้นเบสิก samba ด้วยการ ใช้เท้าซ้ายขึ้นหน้า เท้าขวาถอยหลังนะครับ อันนี้ที่ไหนๆในเมืองไทยก็สอนก่อนทุกที่
- spin    (สปิน=หมุนแบบเหวี่ยง)นึกภาพออกไหมครับว่าการหมุนแบบนี้จะไม่ต่อเนื่องเหมือน Turn แต่ต้องเป็นการหมุนแบบเหวี่ยงตัวด้วย เต้นไปสักพักจะจับความรู้สึกได้ครับ คนเต้นต้องแสดงออกให้ผู้เห็นถึงการ สปิน คือหมุนแบบเหวี่ยงให้เห็นชัดครับ เช่น Spin Turn ,Rop Spin
- tree step turn หมุน กลับตัว โดยใช้แค่ 3 จังหวะเท้า
- Rock อันนี้จำให้ดีนะครับ ใช้ตัว R นะครับ Rock ตัว R หมายถึง ลำตัว เป็นตัวเคลื่อนไหว โยกไปมา ส่วนเท้าทั้งสองยืนอยู่กับที่นะครับ  เช่น Cuban Rock ของ Cuban และ Rock Step ของ Tanggo
  - Lock** อันนี้ให้ สองดาวครับเพราะใช้เยอะมาก Lock ตัวนี้ใช้ตัว L หมายถึง Lock เท้าครับ อาการคล้ายๆ หน้าแข้ง หรือข้อเท้า ด้านหน้า ของเท้าหนึ่ง เคลื่อนเข้ากระทบ น่องหรือ ข้อเท้าด้านหลังของอีกเท้าหนึ่งขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า  หรือ น่องหรือข้อเท้าด้านหลังของเท้าหนึ่ง เคลื่อนที่เข้าหา หน้าแข้งหรือข้อเท้าด้านหน้าของอีกเท้าหนึ่ง ขณะถอยหลังนะครับ  มี Forward Lock (ล็อกเดินหน้า) , กับ Back Lock (ล็อกถอยหลัง) (ข้างๆทำไม่ได้ครับ)
- Chasse' (ชาเซ่ ,แชตเซ่ )** อันนี้ก็ให้สองดาว ใช้เยอะมากอีกตัวครับ อาการคือ ถ้า Chasse' ไปทางขวา(Chasse' to Right) ก็..ก้าวขวาไปทางขวา - เท้าซ้ายไปชิด-เท้าขวาหนีออกข้างขวา
,หรือ Chasse' ทางซ้าย (Chasse' to Left) ก็..สไลด์เท้าซ้ายออกไปทางซ้าย-เท้าขวาสไลด์เข้ามาชิด- เทัาซ้ายสไลด์หนีออกไปอีกทางซ้าย ...pjmong...
  

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

พอเพียง ของในหลวง ของเรา

การคิดบวก

จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อยๆจนตกตะกอนแล้ว

เมื่อเราฝึกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่เราคิดเกิดขึ้นจริง แล้วจะพบว่าสิ่งดีๆเข้ามาสู่ชีวิตเรามากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

จิตใต้สำนึกทำงานแม้ในขณะหลับ ดังนั้น ในแต่ละวันควรระลึกถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำลงไปก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อจะได้ตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น สมองแจ่มใส

จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจมากว่าจิตสำนึกหลายหมื่นหลายแสนเท่า การทำงานของจิตใต้สำนึกอยู่เหนือมิติที่สี่

จิตใต้สำนึก เป็นสิ่งที่เราสั่งสมไว้ในภวังคจิตมานานหลายภพหลายชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบัน จึงทำให้เรามีพื้นฐานจิต อุปนิสัย หรือจริตที่แตกต่างจากคนอื่น ตามประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา

ทุกครั้งที่ทำความดี จงจดจำความรู้สึกดีดีนั้นไว้ ให้ประทับอยู่ในใจเรา สิ่งนี้จะเป็นพลังให้เรามีกำลังใจที่จะทำความดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญกว่านั้น พลังนี้จะดึงดูดสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นในชีวิตเราอย่างน่าอัศจรรย์

กฎลับ 4 ข้อ  หนึ่ง..  ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก เพื่อป้องกันความกระวนกระวาย สอง..  มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราขอว่าเป็นจริงได้โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย  สาม..จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าสิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาและมีความสุข  สี่..เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ

อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย แต่ให้ขอสิ่งที่จะทำไปให้ถึงเป้าหมายแทน เช่นขอให้มีพลังแรงกายแรงใจ มีสติปัญญาให้ไปถึงเป้าหมายนั้น เป็นต้น

ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพของจิตอย่างรุนแรง ทำลายสุขภาพทั้งกายและใจ

ความกลัวจัดเป็นความคิดด้านลบ เมื่อกลัวบ่อยๆ จิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นจริง

เมื่อใดเรามีสติ ความคิดลบที่เกิดขึ้นในสมองจะไม่มีทางหลุดฝังลงไปในจิตใต้สำนึกได้

เผชิญกับคนคิดลบ ต้องสร้างพลังบวกให้มากๆ(คบคนพาล พาลพาไปหาผิด)..แต่ยิ่งคบคนที่คิดบวก.บวกในตัวเราก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น(คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล)

ถ้าเราคิดดี..สิ่งดีๆจะเข้ามาในชีวิต ถ้าเราคิดลบ สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาในชีวิต

เมื่อชีวิตพบกับอุปสรรค จงคิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส เราก็จะมีพลังด้านบวกเพิ่มขึ้น มีความหวังและนั่นก็หมายถึงสิ่งดีๆ ก็จะเข้ามาในชีวิตต่อไป

การหัวเราะ จะทำให้คลื่นรังสีออร่ารอบๆตัวเป็นสีสดใส คลื่นบวกของสิ่งแวดล้อมจะมาออรอบๆตัวเรา เสียงหัวเราะมีพลังดึงดูดสูงมาก และมันสามารถดึงพลังคลื่นบวกแห่งจักรวาลเข้ามาสู่ตัวเรา

ความรู้สึก "พอ" จะทำให้ชีวิตมีความสุข และเกิดความรู้สึกอยากแบ่งปันให้ผู้อื่น ความรู้สึกนี้จะเป็นพลังดึงดูดที่ทรงอานุภาพและเป็นทางลัดที่ง่ายที่สุดในการที่จะนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเรา

จงแผ่เมตตาให้ทุกสรรพสิ่ง เพราะมีการทดลองพบว่ามีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพุ่งออกมาจากร่างกายขณะทีแผ่เมตตา

จงมีสติทุกครั้งที่ระลึกและรู้สึกตัว ให้เข้าไปดูความรู้สึกและปรับให้เป็นบวกเสมอ

เคล็ดลับของอัจฉริยะ คือการสร้างภาพที่ชัดเจนขึ้นในใจก่อนเสมอ

มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่งนั่นคือ "สติสัมปชัญญะ" ที่คอยควบคุมดูแลอารมณ์ ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด

ความคิด ส่งผลต่อเซลล์ทุกเซลล์ในทุกระบบของร่างกาย และสามารถส่งผลไปถึงเซลล์ของคนอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ในระบบประสาท ดังนั้น จงพยายามคิดบวกอยู่เสมอ

การ "ให้" บวก คือการเพิ่มให้บวกในตัวคุณก็จะเพิ่ม การให้ลบ ลบในตัวคุณก็จะเพิ่ม เช่น ยิ่งให้ยิ่งเก่ง ยิ่งสอนยิ่งรู้ ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด ยิ่งบริจาคยิ่งรวย

จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวเราเปรียบเสมือนจอรับภาพ  ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล

Credit : ข่าวรุ่น Greenku29 THE TOP SECRET : สุดยอดความลับ...ของจักรวาล

สูตรยาดี จาก ร.5

ให้เพื่อนในไลน์ทุกคนครับ.

สูตรยา รัชกาลที่ 5
รักษาโรค
(เผยแผ่เป็นธรรมทาน)

ถ้าหายแล้ว ให้ทำบุญ
ถวายสังฆทาน อุทิศให้
รัชการที่ 5 ด้วยครับ

สูตรยา มีดังนี้
๑. น้ำส้มสายชูกลั่น
     อ.ส.ร. 2 ช้อนชา

๒. น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนชา

๓. เกลือป่น ครึ่ง ช้อนชา

วิธีรับประทาน
ชงกับน้ำอุ่น 1 แก้วกาแฟ
วันละ 2 ครั้งก่อนอาหารเช้า สัก15 นาทีและก่อนนอน จะหายจากโรคเบาหวาน
โดยสิ้นเชิงผมเป็นมา 5 ปี ตอนนี้หายหมดทั้ง 5 โรค
ทั้ง ความดัน เบาหวาน
ภูมิแพ้ โรคหัวใจ และไขมันอุดตันในสมอง
หายหมดแล้วครับ
สูตรยานี้ รัชกาลที่ 5
ทรงประทานให้ไว้. แด่ปวงชนชาวไทย

5.1/1 ชวยคุยเรื่องลีลาศ version 5.1/1 เรือง เรียนรู้ก่อนเรียน 1

ชวนคุยเรื่องลีลาศ version 5.1
เรื่อง เรียนรู้ก่อนเรียน
  เรื่องที่ควรเรียนรู้ก่อนเรียน  มีหลายเรื่องครับ ผมเขียนโดยใช้ประสบการณ์ ไม่ได้ทำเอกสารล่วงหน้า  ความจริงรายละเอียดมีเยอะ ขออนุญาตเขียนเท่านี่นึกออกก่อน แต่บางเรื่องถ้าลืมไป ก็จะไปเขียนตอนที่ต้องใช้
   เรียนให้ทราบก่อนว่า การอธิบายโดยตัวหนังสือกับกิจกรรมที่ต้องตาเห็น นี้เขียนให้เข้าใจยากมากครับ  ดังนั้นจะเขียนเพียงเพื่อสมาชิกเอาไปใช้ในสนามจริงได้ทุกจังหวะ โดย figure ที่เอาไปใช้ เป็น figure พื้นฐาน ส่วน figure สูงๆ (Advance)ที่ต้อง คงต้องหาทางไปเรียนต่อเอาเอง หรือมีโอกาสพบกันก็แนะนำให้ได้ครับ
   1.เรื่องของดนตรีกับการเต้นรำ เนื่องจากผมไม่ใช่นักดนตรี ดังนั้นท่านใดที่เป็นนักดนตรี ช่วยกรุณาแนะนำแก้ไขหรือ แนะนำด้วยนะครับ ถ้าผมผิดไป 
  ในเรื่องของการเต้นรำนั้น ผมวางสัญลักษณ์ ของแต่ละ figure ของแต่ละจังหวะ ไว้ดังนี้ครับ x/y 
         x คือ จำนวน การกระทำของเท้า (Action) (เรียก"การกระทำ" ไม่เรียก"ก้าว" เพราะ เท้าที่ใช้เต้นรำในแต่ละ บีท (จังหวะ เคาะ ของดนตรี)ไม่เหมือนกันครับ มีทั้ง เต็มเท้า(flat) ก้าวยาวเต็มบีท  ครึ่งเท้า(ball)ก้าวยาวเต็มบีท ครึ่งเท้า(ball)ครึ่งบีท หรือแม้กระทั่ง ปลายเท้า(toe) จะเรียก action ของเท้านี้ ให้ง่ายกว่าเดิมสักหน่อยก็คือ จำนวน step ของเท้า  หรือ footwork ก็ได้ครับ ค่าของ x ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะ  basic figure ที่เอาไปใช้เข้าสังคมเท่านั่นนะครับ  ถ้า figure สูงๆขึ้นไป ค่าของตัว x จะเปลี่ยนไป เดี๋ยวอธิบายที่หลังครับ
          y  หมายถึง จำนวน บีทหรือจังหวะเคาะของดนตรี ที่เดินต่อเนื่องกันไปเป็นกลุ่มจังหวะที่ซ้ำๆกันตลอดทั้งเพลง  กลุ่มจังหวะนี้ จะอยู่ในห้องดนตรี แต่ละห้องที่เรียกว่า บาร์(bar) ตัวเลขค่า y นี้จะคงที่ตลอดไป ไม่ว่า figure จะสูงขึ้นไปแค่ไหน เพราะเป็นมาตรฐานของวิชาดนตรี
    ลองยกตัวอย่างให้เข้าใจนะครับ เช่นจังหวะ  cha-cha ผมให้สัญลักษ์ basic figure เป็น 5/4 เพราะเราได้ยินเสียงกลองจังหวะนี้ว่าอย่างนี้ครับ [ แต็ก ตึ่ง* ตึ่ง*  ,  ตึ้ง* ตึ้ง* ตึ่ง* ] เราได้ยิน 6 เสียง แต่เราเอาไปใช้เต้น 5 เสียงที่ดอกจันทร์ไว้ ถ้าเอาเสียงจังหวะดนตรี มาเทียบจังหวะนับเวลาเต้นของจังหวะนี้ (ตามมาตรฐานโลกนะครับ ส่วนจะนับให้เราเข้าใจเต้นง่ายขึ้นค่อยเปลี่ยนทีหลังครับ)จะเป็นแบบนี้ครับ [แต็ก(ไม่ใช้ทิ้งไป)  ตึ่ง*(นับ2)  ตึ่ง*(นับ3)   , ตึ้ง*(นับ4) ตึ้ง*(นับ & ,and)  ตึ่ง*(นับ1) ถ้าจะแยกให้ดูง่ายๆก็เป็น [แต็กตึ่งตึ่ง ตึ้งตึ่งตึ่ง]=[ _23 4&1]  ค่าของ x จึงเท่ากับ 5 (5 footwork ครับ) ต่อมาดูค่า y กัน ตัวเลขนี้เป็นค่ามาตรฐานของวิชาดนตรี นักเต้นรำไม่ต้องสนใจมากก็ได้ แต่ถ้าอยากรู้ จะอธิบายดังนี้ครับ y เป็นค่ามาตรฐาน จำนวน บีท(จังหวะเคาะ)ในหนึ่งห้องดนตรี(bar) เวลานับก็นับแบบนี้ครับ [ แต็ก* ตึ่งตึ่ง*  ตึ้ง*ตึ้งตึ่ง*] เคาะจังหวะดนตรี chacha เคาะตามเสียงที่ดอกจันทร์ ก็จะได้ว่า จัวหวะนี้มี 4 บีทใน 1 ห้อง  ค่า y ของผมจึงเป็น 4 ครับ
    สรุป สัญลักษ์ของ การเต้น basic figure จังหวะ chacha คือ 5/4  [คือ 5 footwork ใน 1 bar/ 4 บีทใน 1 bar ]
  ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ตัวเลขบนคือค่า x อาจเปลี่ยนไปเมื่อ figure สูงขึ้น เช่น figure "tree chacha forward " จะมีจังหวะนับและ footwork เป็น 2&3 4&1 สัญลักษ์ของ figure นี้จึงเป็น 6/4 ครับ ..มีต่ออีกเยอะครับ ผู้สนใจ เก็บเป็นข้อมูลไว้ก็ได้นะครับ จะได้ต่อเนื่อง.....pjmong....



    2 คำศัพท์ที่ควรรู้เพื่อจะข่วยให้เต้นเก่งเร็วขึ้น เห็นที่ไหนก็พอจะเดาได้ว่า เต้นอย่างไร จะง่ายที่จะเข้าใจมากขึ้น
   -

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

4 ชวนคุยเรื่องลีลาศ version 4

ชวนคุยเรื่องลีลาศ

version 4.1จาก 2

มารยาทในการเต้นรำ ที่ไม่มีในตำรา

วันนี้จะมาชวนคุยเรื่อง “ มารยาทในการเต้นรำที่ไม่มีในตำรา” เป็นความมารยาทเล็กๆน้อยๆที่ผมสังเกตุเห็นเวลาออกไปเต้นรำตามสถานที่ต่างๆเองเท่าที่เห็นนะครับ เรื่องมารยาทการลีลาศทั่วๆไปก็หาได้ทั่วๆไปนะครับส่วนที่ผมจะเขียนถึงคือ สิ่งที่สังเกตุเห็นในสังคนเรา ไม่มีอยู่ในตำราก็เลยเก็บมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกันคือ

เวลาไปงานเต้นรำแต่ละงานให้สังเกตุดูงานนั้นว่าแขกที่มาในงานโดยเฉลี่ยเต้นรำได้ประมาณขนาดไหน ( เช่น ถ้าเป็นงานเลี้ยงของบริษัท หรือหน่วยงานราชการ เต้นคงไม่เก่งกันเท่าไหร่ พอเข้าสังคม พอสนุกกันได้ ) ถ้าเรารู้ตัวว่า คู่เราเต้นเก่งกว่า พวกเขามากๆ ( เรียกว่าฝีมือคนละระดับกันเลย) เราควรกระซิบคู่เต้นว่า วันนี้ขอแค่พองาม ไม่เต็มที่ เพราะถ้าเราเต้นเต็มที่ของเรา จะดูต่างจากคนอื่นมากเกินไป แทนที่พวกเขาจะชื่นชม กลับดูด้วยความหมั่นใส้ พวกเขาจะคิดว่าเราไม่ได้มาสนุกกับพวกเขา แต่ต้องการมาโชว์ให้พวกเขาดูมากกว่า ผมประสบกับตัวเองมาแล้วครับ งานไลออนกรุงเทพทุกคนใส่สูทหมดรวมผมด้วย แต่มีคู่เดียวเท่านั้นแต่งชุดเต้นรำเต็มยศ ฝ่ายหญิงแต่งชุดราตรี ชายแต่งเทคซิโด้ เลยเต้นอยู่คู่เดียวเลย คู่เขาจัดกันเต็มที่ คนอื่นเลยไม่กล้าลงฟลอร์ทั้งๆที่อยาก งานนั้นเลยกร่อย เพราะสนุกอยู่คู่เดียว ผมเลยอดไปด้วยเลย ทีนี้มีแต่เสียงกระซิบ "คู่นี้ตั้งใจมาโชว์แต่งตัวซะเต็มยศ ไม่ได้ดูเลยว่านี่มันงานประชุมไลอ้อน ..ไม่ใช่งานเต้นรำซะหน่อย."" อารมณ์หมั่นใส้นะครับ สำหรับผมถ้าไปงานประเภทที่คนในงานที่เต้นรำไม่ค่อยเก่ง เช่น งานต้อนรับ,งานอำลา,วันเกิด ฯลฯ ผมจะพยายามไม่ใช้ CUBAN RUMBA แต่จะเต้น Beguine แทน เดี๋ยวยักย้ายส่ายสะโพกมากเกินไปคนที่ไม่เคยเห็น คนนอกวงการ จะตกใจเต้นรำต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ ส่วนจังหวะอื่นๆก็เต้นพอเบาๆ พอเป็นสังคม แต่ถ้าเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อการเต้นรำโดยเฉพาะ หันไปทางไหนก็ฝีมือฉกาจทั้งนั้นละก็ลุยให้เต้มที่ไปเลย ถ้าทำแบบนี้ได้เราจะได้เพื่อนมากขึ้นอีกเยอะเลย เช่น “เต้นรำสวยจัง” “เต้นรำเก่งนะ”เจอกันวันหลังสอนให้หน่อยนะ” มีงานหน้าจะเชิญมาอีกนะ” เป็นต้น อย่าเป็นประเภท “เต้นรำอะไรก็ไม่รู้ดิ๊กดั๊กๆน่าเกลียดเหมือนตุ๊ดเลย”(ก็พวกเขาไม่ได้อยู่ในวงการไม่เคยเห็นนี่นา) หรือไม่ก็ “อยากโชว์ไปโชว์ที่อื่นเลยที่นี่มีแต่คนเต้นไม่เป็นไม่ต้องมาโชว์ที่นี่หรอก” (นินทาด้วยความหมั่นใส้) สมัยก่อนผมมีโอกาสไปงานใหญ่ๆในกรุงเทพบ่อยๆ อย่าง ประเภทกาลาดินเนอร์ประเภทจัดการกุศลหาเรื่องให้คุณหญิงคุณนาย แข่งกันแต่งตัวออกงานสังคมว่างั้นเถอะ โต๊ะหนึ่งว่ากันเป็นแสนบัตรใบหนึ่งก็ หมื่น...สองหมื่นเป็นประเภทเสิร์ฟอาหารทีละจาน จานนึงก็เค็กก้อนเท่านิ้วก้อย กินเข้าไปยังไม่ทันเข้าปากเลยแค่ติดฟันก็หมดก้อนแล้วออกจากงานก็วิ่งหาร้านข้าวต้มรอบดึกกันเป็นแถว งานประเภทนี้ Sheๆทั้งหลายแต่งตัวสุดหรู ชุดราตรียาวประเภทเดินไปไหนก็กวาดขยะไปด้วย ทำผมทรงสูงเท่าตึก เครื่องเพชรเยอะจนอยากอุ้มกลับบ้าน (ถ้าไม่กลัวสามีเขาไล่ยิงเอา) เวลา She กลับมานั่งโต๊ะ ผมที่ทำไว้สูงๆ บางคนผมที่ทำมาเอนไปทางหนึ่ง, บางคนก็หลุดลงมาเลย เพราะอะไรหรือ ?ก็พวกครู (ที่จ้างไปนี่แหละ)ไม่ค่อยรู้กาละเทสะเท่าไหร่ (ครูคนไหนไม่ได้เป็นก็อย่าโกรธนะครับ) ไม่สนว่านี่มันงานอะไรเขาแต่งตัวกันแบบไหน เวลาเต้นรำงานหรูๆแบบนี้ ข้าจะวาดลวดลายให้เต็มที่ ( ต้อง show เยอะๆเป็นโอกาสทองที่จะหาลูกค้าไฮโซเพิ่ม ) ข้าไม่สนว่าคู่เต้นจะแต่งตัวมาอย่างไร เวลาจับหมุนทีตัวก็ครูก็เตี้ยเธอก็ทำผมซะสูงเชียว ยกแขนไม่พ้นหัวเลยหลุดออกมาทั้งยวงเลย เคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่ง สะดุดอะไรมาจากไหนก็ไม่รู้มาล้มที่แทบเท้าเรา ทั้งสวยทั้งขาวอะไรก็ไม่น่าสนใจเท่า..หน้าอกเธอหลุดออกมาทั้งยวงเลย ผมต้องตะลึงอยู่ชั่วขณะเพราะกำลังคิดว่าจะช่วยเธอ “ โกย “เก็บเข้าที่เสียก่อนดีหรือจะขอยืนดูให้อีกนานอีกสักหน่อย พอดีคู่เต้นเขา เข้ามาช่วยทันเวลาก่อนที่พลเมืองดีอย่างผมจะทำอะไรทัน..!!.เสียดาย.!!..เป็นอย่างไรครับเจอคู่เต้นที่เอาแต่มันโดยไม่ดูเลยว่านี่มันงานอะไรควรเต้นแค่ไหนพอ เอาซะสาวไฮโซของเรากระเด็นไปไหนเลย แถมมีโชว์ดีๆให้ดูอีก พูดตามตรงยังติดตาอยู่ทุกวันนี้เลย

2. อย่าใส่ของมีค่าเวลาเต้นรำ เพราะมันจะขูดขีด เวลาเหวี่ยงไปมาเป็นที่น่ารำคาญแก่คู่เต้นของเรา และที่สำคัญมันจะหลุดหายโดยไม่รู้ตัว เคยมีอยู่ครั้งนึงก็ไอ้งานไฮโซแบบที่ว่านี่แหละ เต้นแทงโก้อยู่ดีๆมีอะไรแว็ปๆวิ่งมาชนที่รองเท้าเรา อ้อ...!!!.ต้มหูนี่นาหยิบเอาใส่กระเป๋าไว้ก่อนเต้นรำเสร็จค่อยถามหาเจ้าของเม็ดไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ เพราะของพี่ที่เต้นกับเราใหญ่กว่าเยอะ ...เดี๋ยวเต้นเสร็จค่อยถามหาเจ้าของทันใดนั้นเอง ดนตรีก็หยุดลงฉับพลัน คุณ....( ไฮโซเจ้าเก่าของฟ้าเมืองไทยเอ่ยชื่อก็รู้จักทันที ) ขึ้นประกาศบนเวที “มีผู้ใดพบต้มหูของเดี๊ยนบางไหมคะ..ขอความกรุณาขอคืนด้วยคะ เพราะที่เหลือจะใช้ไม่ได้เพราะไม่ครบคู่” เราก็ยกมือขึ้นทันควัน..คุณ...คนนั้น...ก็วิ่งจู๊ดมาหาพร้อมกับขอรับตุ้มหูคืน เราก็ส่งไปให้ต่อหน้าคนทั้งงาน เธอรับตุ้มหูพร้อมกับหอมที่แก้มเบาๆเป็นรางวัลให้หนุ่มที่แสนซื่อ 1 ฟอด ( ความจริงเธอทำตัวเป็นฝรั่งจ๋าต่างหาก ไม่ได้พิศสวาทอะไรผมหรอก ) พร้อมกับกระซิปที่ข้างหูเบาๆ “ ข้างนี้ราคาตั้ง 2ล้านนะคะ ขอบคุณนะคะที่เก็บไว้ไห้” ผมอ้าปากค้างด้วยความเสียดายไม่ใช่อยากให้หอมแก้มอีกข้างหรอกนะแต่ถามตัวเองว่า “ ทำไมไม่รีบแอบกลับบ้านก่อนว่ะ “..ไอ้เซ่อ...!!!..

ท่านชายที่รู้ตัวว่าเหงื่อออกมากๆประเภทระบบเผาผลาญดีนะ แนะนำว่าเอาเสื้อไปเปลี่ยนหลายๆตัว และผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ๆ นอกจากเช็ดหน้าแล้ว ใช้เช็ดอย่างอื่นด้วย เช็ดหน้า เช็ดคอ เช็ดแขน ..ลองนึกถึงภาพเวลาเราเต้นบอลลูมซิสาวเจ้าต้องวางแขนซ้ายเธอวางบนแขนขวาของเราเวลาเต้นแล้วเหงื่อออกเยอะๆพอเธอยกแขนออกจากแขนเราเหงื่อพร้อมไคล(พูดไม่เพราะเลย) มันขึ้นเป็นขี้โคลนเป็นเส้นเลย สาวเจ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยขนลุกไปด้วย แล้วชื่อเสียงเราก็จะป่นปี้เพราะปากของเธอไปเล่าให้ชาวบ้านฟังไปอีกนานเท่านาน

3. กลิ่นตัวก็เหมือนกัน มีข้อแนะนำว่าหัดทานเปรี้ยวๆให้บ่อยๆเขาว่าจะไม่มีกลิ่นตัวเวลามีเหงื่อเท็จจริงอย่างไรขอความเห็นจากนักโภชนาการหน่อย

4. รองเท้าท่านชายขัดเสียเงาวับเลยแต่ขอบพื้นกับส้นเท้าไม่ยอมขัดเป็นขี้โคลนเลย แล้วเวลาเต้นรำอยู่บนฟลอร์คนข้างฟลอร์เขาดูเท้าเรามากกว่าหน้าเราเสียอีกลองนึกถึงภาพคล้ายๆกับว่าแต่งสูทอย่างดี รัดซะเนี๊ยบเลยทั้งเสื้อ กางเกง แต่พอมองลงต่ำ เป็นรองเท้าผ้าใบขี้โคลนเคลอะซะนี่มันเนี๊ยบไม่จริงนี่นา

5. ก่อนเต้นรำอย่าทานของคาวที่มีกลิ่นแรงๆเลยสงสารคู่เต้น เดี๋ยวดีไม่ดีจะได้เห็นเส้นขนมจีนแปะอยู่บนใบหน้าของเธอ ผู้เป็นคู่เต้นของเรา

6. ก่อนเข้าไปในฟลอร์กรุณากลืนอะไรๆที่ทานค้างอยู่ในปากให้หมดเสียก่อน ผมเคยเห็นคนเต้นรำไปเคี้ยวไปด้วย ดีนะไม่ถึงขั้นกระฉอกออกมาข้างนอก หรือไม่ก็มีเผลอเอาเล็บแคะฟันไปด้วยขณะเต้น ด้วยความเคยชินไม่รู้ตัวเห็นแล้วหมดกัน  
     เรื่องนี้ในวงการร้องเพลงก็เหมือนกัน ผมเคยนั่งดู คนขึ้นไปร้อวเพลง ตาลีตาลาน วิ่งขึ้นไป ดนตรีขึ้นแล้ว มือถือไมล์แล้ว ปากยังเคี้ยวอาหารอยู่เลย ในใจคิดว่าจะโทษเขาดีไหมเนียะ ก็ที่ DJ ไม่มีรายชื่อให้ลูกค้าดูว่าตอนนี้คิวใคร ดังนั้นคนต่อไปก็ไม่ทันรู้ตัวว่าคิวต่อไปนะ ถึงตัวเองแล้ว ทานอาหารเพลิน สรุปก็คือ สถานที่ที่จัดให้มีร้องเพลง ฝ่ายเจ้าของกิจการ ถ้าเป็นไปได้ก็มีรายชื่อคิวเพลงให้ลูกค้าได้เห็นสักหน่อย ถ้าเป็นไปได้นะครับ  จะได้มีเวลาเตรียมตัว ส่วนตัวลูกค้าเองก็ควรหมั่นสังเกตุด้วยตัวเองด้วย เพราะสุดท้าย ความเสียหาย  การเสียบุคลิก มันจะตกที่เรา

      .....pjmong (pjshopcenter.blogspot.com)...........มีต่อ version 4.2...

            ชวนคุยเรื่องลีลาศ version  4.2 /จาก 2 ( ต่อจาก version 1) มารยาทในการเต้นรำที่ไม่มีในตำรา

7. ข้อนี้สำคัญสุดเลย ถ้าในวงการเต้นรำคิดกันได้อย่างในข้อนี้ นักเต้นรำทั้งหลายจะรักกันมากขึ้น จะเคืองกันน้อยลง วงการนี้จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ ขออนุญาตเขียนถึงเยอะหน่อยสำหรับข้อนี้มันสำคัญ

ข้อคิดที่ว่านี้ก็คือ ไม่ว่าคนจะเต้นรำอยู่ระดับไหนก็ตาม จงอย่าติผู้อื่นว่า “ เต้นผิด” “เต้นไม่สวย”อย่างเด็ดขาด เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะศาสตร์ของการเต้นรำมันใช้ศิลปศาสตร์เป็นหลักใหญ่และใช้วิทยาศาสตร์ (static,dinamic,momentum and direction ext. ) เป็นตัวช่วยให้ใช้การเต้นรำให้เป็นศิลปะที่ไม่ทำให้ตัวเองและคู่เต้นบาดเจ็บ, เหนื่อยเร็วและเคลื่นไหวแบบถูกต้อง สวยงามหมายความว่าศิลปะศาสตร์เป็นหลัก วิทยาศาสตร์เป็นรอง (ในทุกๆกิกรรมจะมีศิลปศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ผสมกันอยู่ ขึ้นอยู่ว่า กิจกรรมอะไรมีอะไรมากกว่า เช่น กอร์ฟ ใช้วิทยาศาสตร์มากกว่าศิลป หรือ เตันรำ ร้องเพลง ใช้ศิลปศาสตร์ มากกว่า วิทยาศาสตร์ เป็นต้น)

การลีลาศในประเทศไทยเป็นการเต้นลักษณะใหญ่ๆอยู่ 2 ลักษณะ คือ

เต้นเพื่อเข้าสังคม เราเต้นเพื่อวัตถุประสงค์นี้เป็นส่วนมาก เต้นแบบนี้ไม่มีใครมีสิทธิว่าเราเพราะเราไม่ต้องอิงมาตรฐานใคร ฉันเต้นตามที่ฉันชอบ ( ถ้าคู่เต้นเอาด้วยนะ และก็เต้นแล้วไม่ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเกะกะรำคาญ) เต้นไปชูมือชูไม้ไป เต้นไปกางแข้งกางขาไป ก็ทำได้ไม่มีใครว่า ( ถ้าไม่กลัวใครเขาว่า บ้า หรือไม่ก็น่าเกียจ) ก็ฉันชอบของฉันแบบนี้....

แต่ถ้าจะถามว่าฉันจะเต้นแค่เข้าสังคมกับออกกำลังกาย ไม่ได้ต้องการเต้นเพื่อแข่งแล้วทำไมต้องมีเรียนด้วยละ ก็ต้องตอบว่า ถ้าคุณมีคู่เต้นของคุณเองไม่หวังว่าจะมีโอกาสใดในอนาคตที่จะเต้นกับคนอื่นเลยคุณก็ไม่จำเป็นต้องเรียน สามารถไปออกแบบ figure กันเอง ไว้สำหรับเต้นเฉพาะเรากันเองก็ได้ ขอแค่เวลาเอาไปเต้นจริงในฟลอร์อย่าไปเป็นอันตราย หรือไปรบกวนผู้อื่นก็เป็นอัน ok แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าคุณจะมีเวลาและมีความรู้ขนาดสามารถออกแบบ figure ได้หมดทุกจังหวะ จังหวะละหลายๆ figure เลยหรือ ท่านทราบไหมว่า figure ทั้งหลายที่เขาออกแบบมาแล้วนั้นล้วนต้องใช้เวลาสะสม ทีละตัวๆ จากนักเต้นรำเก่งๆที่ออกแบบกันมา แล้วมาเสนอเพื่อใช้ในการแข่งกันในแต่ละครั้ง ส่วนทางสมาคม ( ที่ผู้ออกแบบผู้นั้นไปเสนอ )ร่วมกันพิจารณา เรื่อง timing (จังหวะนับ) Line (ทิศทาง) หรืออื่นๆที่สำคัญ เช่นว่ามันเป็นอันตรายต่อผู้เต้นหรือไม่จึง จะอนุญาตให้ใช้แข่งขันหรือบรรจุเป็น figure มาตราฐานได้ และ ถ้า figure ไหนที่น่าสนใจก็ขอ ( เชิงบังคับ ) ให้สมาคมเป็นเจ้าของเพื่อใช้บรรจุเป็นวิชาการของสมาคมนั้นๆต่อไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้วเราจะมาออกแบบเองทำไม เราก็เอาที่เขาทำไว้ให้และผ่านการวิเคราะห์วิจารณ์ว่าดีแล้วมาใช้เลยไม่ง่ายกว่าหรือ อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อการเต้นรำมันเป็นสากลโลก เราก็เรียน figure ของสถาบันที่ทั่วโลกเขายอมรับมากที่สุด เวลาเราไปที่ไหนที่ไม่มีคู่เต้นของเรา เราก็ Join กับเขาได้ เพราะทุกคนเรียนมาเหมือนๆกัน เมื่อเรียนจนเข้าใจแล้ว ก็ไปดัดแปลงแก้ไขเองให้มันเพี้ยน (แบบตั้งใจบนพื้นฐานว่าเราเข้าใจ มันดีแล้ว ซึ่ง บางทีก็เพี้ยนพราะไม่ตั้งใจ หรือไม่ก็เพี้ยนเพราะแอบจำเขามาแต่ไม่ได้เรียน) ไปจากตำราที่เรียนมาเพื่อหาความแตกต่าง จะเต้นให้แตกต่างจากตำรามากแค่ไหนก็ไม่มีใครมีสิทธิจะว่า เพราะมันเป็น figure ที่ฉันใช้เต้นของฉันเองไว้ใช้ออกกำลัง อีกอย่างมันง่ายสำหรับผู้สอนด้วยว่าเอาที่เขาทำไว้ให้แล้วมาสอนให้มันเหมือนๆกันทั่วโลก ไม่ต้องไปคิดออกแบบเองไว้สอนให้เสียเวลา และร้ายกว่านั้ลูกศิษย์เราไปเต้นกับคนอื่นไม่ได้ด้วย

เมื่อมันเป็นศิลปะศาสตร์ มากกว่าวิทยาศาตร์  มันไม่ใช่คณิตศาสตร์ที่มีคำตอบแน่นอนว่าถูกหรือผิดศิลปะจึงไม่มีคำว่าถูกหรือผิด มีแค่ “ถูกใจ” หรือไม่เท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครมาทักเราว่าเต้นผิดก็ให้ย้อนถามกับไปเลยว่า “แล้วอย่างคุณนะถูกหรือ??”ฉันเต้นเพื่อออกกำลังกาย ฉันไม่ได้เต้นเพื่อไปแข่งที่ไหน ฉันจึงไม่จำเป็นต้องอิงมาตรฐานของใคร แต่เมื่อไหร่ที่ฉันจะเต้นเพื่อใช้แข่งเมื่อไหร่ค่อยเอามาตรฐานที่จะใช้แข่งมาคุย เรื่อง ถูก หรือ ผิด นั้นผมบอกแล้วไงว่าศิลปะไม่มีถูก ผิด มีแต่ “ถูกใจ” หรือไม่เท่านั้น อาจารย์คนไหนมีลูกศิษย์มาก มีคนมาเรียนด้วยเยอะ เพราะ เขาเต้นรำเป็นที่ “ถูกใจ” คนเป็นส่วนมากต่างหาก มันไม่เหมือนคณิตศาสตร์ไม่ว่าใครคนไหนในโลกนี้ ถ้าเอาเลข 2+3 ไม่ได้เท่ากับ 5 ไอ้คนนั้นบวกเลขผิดแน่นอน ส่วนวิชาศิลปะหรือผมยังไม่เคยเห็นว่า อ.ถวัลย์ จะพูดว่า อ.เฉลิมชัย วาดรูปผิด หรือ อ.เฉลิมชัย จะติว่าผลงานของ อ.ถวัลย์ ไม่ถูกต้องเลย ทั้งสองคนมีแฟนคลับของตัวเองแฟนคลับของ อ. เฉลิมชัย ก็พึงพอใจกับลายเส้นและ Style รูปภาพของ อ.ฉลิมชัย เฉกเช่นเดียวกับแฟนคลับของ อ.ถวัลย์ ก็ “พอใจ” ในผลงานตามแบบฉบับ (Style) ของ อ.ถวัลย์ เต้นรำก็เช่นกัน ไม่ควรที่จะมาคอยติกันว่าใครเต้นรำถูก ผิด เพราะมันจะหาคำตอบไม่ได้ แต่สิ่งที่จะตามมาคือ ความไม่พอใจเมื่อถูกใครมาติ แบบนี้มันเหมือนหักหน้ากันไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรกับใคร ฝ่ายที่ถูกติก็ไม่พอใจ ส่วนฝ่ายติก็ไม่เห็นจะได้เงินสักบาท แต่กับได้คนไม่พอใจเราเพิ่มอีกคน ถ้าคนนั้นเขามีแฟนคลับของเขาเราไปติเขากับโดนคนอีกโขยงเกลียดขี้หน้าเอา มันคุ้มกันไหมละเพราะเราไปติคนอื่นในเรื่องที่มันจะหาข้อสรุปไม่ได้ มันไม่มีใครยอมรับหรอกว่า ที่ตัวเองทำอยู่นะมันไม่สวย ไม่ถูก เรื่องนี้เจ้าตัวเขาทำแบบนี้เพราะเขาชอบมัน มันเป็น Style ของเขา ถ้าลักษณะการเต้นของเขา “ถูกใจ” คนมากก็เป็นที่ยอมรับกันมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นเต้นในลักษณะที่ “ไม่ถูกใจ”ใครเลย เพราะเจ้าตัวเขาชอบแบบนี้ ถ้าเจ้าตัวเขาไม่ได้เดินมาขอให้วิจารณ์ก็อย่าได้ไปนินทาเขาให้ใครฟังว่า” คนนี้เต้นไม่ถูก , เต้นไม่สวย” เราทำได้เต็มที่คือ ถ้าเขาเต้นไม่สวย มันไม่ถูกใจเรา เราก็ไม่ต้องไปทำตามก็เท่านั้น

ส่วนเรื่องความ ถูก - ผิด เวลาเขาเต้น figure (ลวดลาย )ก็ไม่ควรไปวิจารณ์ใครว่า ถูก-ผิด เพราะอะไรหริอครับ ก็เพราะว่าทุกย่างก้าว,ทุกอิริยาบถที่เราอยู่บนฟลอร์มันถูกต้องทั้งนั้นแม้กระทั่งถ้าสามารถยืนอยู่บนปลายนิ้วหัวแม่เท้า บนเท้าข้างเดียว (ถ้าคุณทำได้นะ)มันก็มีมาตรฐานรองรับมีชื่อเรียก เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเองว่าไอ้ที่เราทำแบบเนี๊ยะเขาตั้งชื่อมันว่าอะไร หรือแม้แต่คุณหงายท้องลงไปนอนกับพื้นถ้าใครหัวเราะเยาะคุณก็สวนออกไปเลยว่า “หัวเราะอะไร??นี่มันเป็น figure ของผม ผมออกแบบเอง มันเป็นขั้น advance ที่คุณไม่เคยเห็นในตำราของคุณต่างหาก มันน่าหัวเราะตรงไหน?” บางท่านทำตัวเป็นผู้รู้ ( ทั้งๆที่ตัวเองเต้นรำเก่งกว่าเขานิดเดียว,ศึกษาทิฤษฏีมาได้นิดหน่อย ) ก็เที่ยววิจารณ์คนอื่น ติเขาบ้าง,นินทาเขาบ้าง ใครไม่รู้เท่าทันพาลไม่กล้าเต้นรำอีกเลย

เวลาจะติ-ชมใคร ตัวเขาเองต้องมั่นใจในความรู้ของตนเองมีมากพอสมควรแล้ว “เต้นผิดมาตรฐาน” เต้นผิดตำรา”หรือจะใช้มันเป็นคำกล่าวอ้างเพื่อให้คำวิจารณ์ของตัวเองดูน่าเชื่อขึ้น

2. เต้นเพื่อแข่งขัน ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า พอเราเข้าแข่งขันกรรมการเอากฎกติกาชองสมาคมไหนเป็นกฎกติกาเป็นเกณฑ์การตัดสินในปัจจุบันของและนานาประเทศส่วนใหญ่ใช้ I.S.T.D เป็นเกณฑ์ทั้งชื่อ figure,Line,Timing หรืออื่นๆอีก ถ้าเต้นแบบนี้เพื่อจะเข้าแข่งโดยใช้มาตรฐานของ I.S.T.D ก็ต้องศึกษาตำราของ I.S.T.D อันนี้ถึงจะมีการกล่าวหากันได้ว่า ถูก – ผิด (มาตรฐานของเขา) แต่ก็มีข้อแม้ คนที่ว่านั้นก็ต้องมีคุณวุฒิและเป็นที่ยอมรับกันในวงการแต่ท่านก็ลองคิดดูในวงการเต้นรำเมืองไทยคนที่เป็นที่ยอมรับกันในวงการถึงสามารถและมาตรฐานต่างๆยังแตกต่างกันเป็นก๊ก...เป็นเหล่าเลย (เอาอีกแล้วคนไทย) ไม่รู้มีกี่สมาคมที่ลงท้ายว่า “...ลีลาศแห่งประเทศไทย...”เช่น สมาคมกีฬาลีลาศแห่งประเทศไทย สมาคมครูลีลาศแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาลีลาศมหาวิทยาลัย สมาคมกีฬาลีลาศสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ฯลฯ แล้วท่านจะให้ใครวิจารณ์ท่านล่ะว่าเต้นถูก – ผิด ก็ในเมื่อคนวิจารณ์ยังอยู่คนละมาตรฐานเลย

สำหรับผมแล้วตั้งแต่เต้นรำเป็นมายังไม่เคยวิจารณ์ใครว่าเต้นรำถูก – ผิดเลย ใครมาถามผมมักจะตอบไปว่า ถ้าเขาชอบ เขาสนุก เต้นแล้วไม่ทำร้ายตัวเอง – คู่เต้นหรือคนอื่น เขาเต้นถูกหมดแหละ แต่ถ้าจะถามความเห็นส่วนตัว เต้นอย่างเนี๊ยะมันสวยไหม มันก็ขึ้นอยู่กับคนมอง คู่เต้นคู่หนึ่งที่อยู่บนฟลอร์คนหนึ่งชอบ Style การเต้นแบบนี้ เขาก็ศัทธา ชมชอบ อยากให้สอนให้ อยากเอาอย่าง เพราะมองว่าสวยดี แต่สำหรับคนอื่นเห็นอาจจะไม่ชอบ Style นี้ก็มองว่าไม่สวย ไม่ชอบ มันต่างจิต ต่างใจ ว่ากันไม่ได้ ลักษณะการเต้นของใครที่เป็นที่ยอมรับของสังคมนั้น ดูคำตอบได้จากคนนั้นก็จะได้ลูกศิษย์ไปเยอะ มีคนศรัทธาเยอะคน American ไปเต้นArgentine Tango ที่อังกฤษ คนอังกฤษบอกไม่สวย (ไม่ใช่ไม่ถูกนะถึงรู้ว่าถูกฉันก็ไม่ชอบ) ไม่ศรัทธา ไม่เรียน ทำนองเดียวกัน คนอังกฤษ ไปเต้น Tango แบบ Style อังกฤษที่ America คนที่นั่นไม่ชอบ ไม่ยอมรับ ไม่สนใจ (ก็ไม่ได้แปลว่าเต้นผิดอีกนั่นแหละ)

เพราะฉะนั้นถ้ารักกันจริงอยากอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขอย่าได้วิจารณ์ใครว่าเต้นรำผิด แม้กระทั่งสวยหรือไม่สวยก็ห้ามวิจารณ์ ถ้าทำได้เช่นนี้แล้ว ท่านว่าจะเต้นรำกันได้อย่างมีความสุข....นะครับ....(ข้อนี้ เขียนยาวหน่อยเพราะเห็นหลายคนไม่ถูกกันเพราะเรื่องที่ว่านี้เยอะ ไปที่ไหนก็เจอ เลยคิดว่าถ้าทุกคนคิดได้อย่างผม วงการนี้น่าจะอยู่กันอย่างพี่น้อง รักกัน มีความสุขกันได้เยอะกว่านี้ จะเอาอะไรกันนักหนากะอีแค่เต้นรำหนุกๆจริงไหมครับ

พูดถึงเรื่องนี้ขอพ่วงอีกหน่อย คือวงการร้องเพลง และวงการกอร์ฟ มีแบบนี้เหมือนกัน เพราะผมเล่นกิจกรรมสองอย่างนี้ด้วย เลยได้พบได้เห็นเป็นประจำ คือคนที่พยายามจะบอกทุกคนว่าฉันเก่ง ฉันโปร ก็เลยคอยติ คอยวิจารย์ คนอื่น ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้ร้องขอ ในสนามกอร์ฟ เขาเรียกคนพวกนี้ว่า "โปรข้างสนาม" ในวงการเต้นรำเขาเรียกว่า" ครูข้างฟลอร์" ส่วนในวงการร้องเพลง คงต้องเรียก " ครูข้างเวที " ดีไหมครับ..???

คราวนี้ท่านเพื่อนๆทั้งหลายคงจะเต้นรำกันอย่างสนุกและมั่นใจขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าเดี๋ยวจะมีคนมาว่า ว่าเต้นไม่ถูก ไม่สวย ส่วนคนไหนที่เคยวิจารณ์คนอื่นก็คงจะเข้าใจคนที่เขาเต้นรำได้ไม่เก่งเท่าเราว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเขารับทราบมาว่าท่านเคยนินทาเขา ( บางท่านโดนต่อหน้าเลย) ยกเว้นเสียแต่ว่า เขาเดินมาขอคำแนะนำจากเราเอง นั่นแสดงว่า style การเต้นรำของเรามัน “ถูกใจ” เขา

pjmong...(pjshopcenter.blogspot.com)