การเมือง.......เรื่องของใคร...??? คงจะเป็นเรีองอึดอัดของคนอีกหลายๆคน ที่อยู่ในประเทศที่...ที่ไหนๆก็ห้ามพูดถึงการเมือง พูดเรื่องการเมืองที่ไหนวงแตกที่นั่น เมื่อก่อนประเทศนี้ก็เหมือนที่อื่นๆทั่วโลก ที่พูดเหมือนๆกันว่า "...การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน..."ซึ่งมันก็จริง เพราะเรื่องของการเมืองมันเกี่ยวข้องกับคนทุกคน ทุกอาชีพในทุกๆวันที่เราดำเนินชีวิตไป ถ้าเปรียบประเทศเราเป็นบ้านหลังหนึ่ง พวกเราทุกคนคือลูกๆที่อยู่ร่วมกันเป็นบ้านหลังนี้ โดยมีพ่อแม่คือรัฐบาลและองค์กรอิสระต่างๆเป็นผู้ตั้งกฎเกณฑ์ ดูแลรักษาทรัพย์สินที่เป็นส่วนรวมในบ้าน และมีหน้าที่ซ่อมแซมแก้ไขที่เป็นส่วนรวม ส่วนเราลูกๆก็ช่วยกันแบ่งรายได้จ่ายให้พ่อแม่เก็บไว้ ใช้เพื่อส่วนรวม( ในรูปของภาษี )เห็นไหมครับว่า พ่อแม่ที่ดูแลบ้านอันเป็นส่วนรวมที่ลูกๆอาศัยอยู่ ก็ต้องออกกฎ ออกระเบียบ ควบคุมนโยบาย ให้ลูกๆทุกคนร่วมกันใช้ ร่วมกันปฎิบัติในขณะที่แต่ละคนประกอบอาชีพในชีวิตประจำวันไปด้วย นั่นก็แปลว่าเราทุกคนก็อยู่กับการเมือนตลอดเวลา นั่นเอง จะโดยตรง หรือโดยอ้อมก็แล้วแต่ แต่เมืองเราตอนนี้มองการเมืองไม่ใช่เป็นของส่วนรวมที่ต้องช่วยกันเลือกเมื่อต้องเลือก และต้องทัดทานเมื่อคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผล แต่เรามองการเมืองเป็นเรื่องของ...""ฉัน""..... ไปเสียแล้ว สังเกตุไหมเดี๋ยวนี้เราพูดถึงเรื่องการเมืองเมื่อไหร่ เราจะไม่ค่อยได้พูดว่า ฝ่ายที่เราชอบดีอย่างไร มีอะไรดีบ้างหรือทำอะไรดีบ้าง เหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่กลายเป็นว่า เรากลับพูดแต่ว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่ดีอย่างไร และถ้าใครไม่มีความเห็นที่เหมือนตัวเอง ก็เกิดอารมณ์รุนแรง ถึงขนาดตัดเพื่อนตัดญาติกันก็มี ทำไมมันเป็นแบบนี้ ...? หรืออาจเป็นเพราะเราจริงจังมากเกิน เราลืมกันไปหรือเปล่าว่า การเมืองและนักการเมืองไม่ใช่เรื่องถาวร เปลี่ยนแปลงเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา ไม่ปีเดียวเปลี่ยน เต็มที่ก็ไม่เกิน 8 ปี ก็เริ่มใหม่ ของเก่าทิ้งไป แต่เราทุกคนซิ..!!อารมณ์ไม่ยอมเบาลง ทั้งๆที่ผู้เกี่ยวของหลายคน ได้แยกย้ายกันไปมีชีวิตปรกติไปแล้ว แต่พวกเรายังโกรธแค้นกันเหมือนเดิม จนถึงขนาด ที่ social media ทุกที่ ทุกกลุ่ม ออกกฎเลยว่า เรื่องการเมืองห้ามคุย ห้ามพูด ...กลัววงแตก..ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง..และมีตัวอย่างมาแล้วมากมาย ..แล้วทีนี้...สิ่งที่เราเดินผ่านเห็นว่าไม่น่าจะใช่..., มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ ...ใครจะกล้าพูด ใครจะกล้าบอกให้รู้กัน เพราะพูดไปแล้วอาจถูกมองว่าเป็นการเมือง ซึ่ง การเมืองกับชีวิตประจำวันมันใกล้เคียงกันจนแยกออกยาก จนทำให้คนที่อยากพูดอยากคุยถึง ไม่แน่ใจว่ามันใกล้การเมืองหรือไม่ เลยเลือกที่จะไม่พูดถึงดีกว่า แล้วถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าเราเห็นรอยผุพังในบ้านเรา แล้วเราไม่กล้าบอกใครให้รู้ ซึ่งบ้านหลังนี้มันก็ใหญ่เสียเหลือเกิน มีลูกๆหลานอาศัยอยู่เป็นแสนเป็นล้าน เห็นที่ชำรุดเสียหายมากมาย ที่ชำรุดเสียหาย ที่เกิดจากความตั้งใจหรือไม่ก็แล้วแต่ มากขึ้นๆทุกวันแล้วถ้าไม่มีใครกล้าพูดถึง ก็คงต้อง สงสารบ้านหลังนี้และทนเห็นมันผุพังโทรมลงทุกวัน โดยส่วนตัวแล้ว ก็ยอมรับนะว่า ระยะนี้ก็ยังไม่กล้าจะคุยกันเรื่องการเมืองเท่าไหร่หรอกเพราะอดีตที่ผ่านมา มันรุนแรงเหลือเกิน จนทุกวันนี้ ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้นำหลายๆคนก็เบาบางไปหมดแล้ว แต่อารมณ์พวกเราทุกกลุ่มทุกฝ่ายก็ยังคุกรุ่นอยู่ พร้อมที่จะรุนแรงขึ้นมา ถ้ามีสิ่งเร้ามากระตุ้น เรื่องแบนี้เราไม่ว่ากันหรอก มองด้านดีก็อาจเป็นเพราะเรารักบ้านหลังนี้ มากมายจริงจังก็ได้ (รักตามแบบของเรานะ แบบอย่างของคนอื่นเป็นไงไม่รู้ และไม่รับฟังด้วย คือ...ไม่ดีหมด แต่ถ้าอันไหนดี...เงียบ..!!ไม่พูดถึง..) แต่สิ่งหนึ่งที่สิ่งเดียวที่อยากได้สำหรับตอนนี้คือ.... เราจะทำอย่างไรให้ทั้ง คนบอกและคนฟัง แยกแยะกันให้ออก ว่าเรื่องไหนเกี่ยวกับการเมือง เรื่องไหนเกี่ยวกับส่วนรวม เราจะได้กล้าที่จะบอก ที่จะพูดถึงเรื่องราวต่างๆที่ไปเห็นมา ให้พี่ๆน้องๆได้ฟัง ได้รับรู้ เพื่อบ้านของเรา ให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่ให้อยู่อย่างมีความสุข ทุกคนก็จะมีกำลังใจในการทำมาหากิน ...อย่าลืมว่า...บ้านที่มั่นคงแข็งแรง อยู่อย่างมีความสุขปลอดภัย สมาชิกทุกคนในบ้าน อิ่มหนำสำราญ และอบอุ่น ย่อมเป็นที่สะสมพลังงานและกำลังใจให้เกิดการคิดบวก มีพลังในการมีชีวิตอยู่ และดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพอย่างมีความสุข อันเป็นต้นเหตุแห่งความสำเร็จ และเมื่อส่วนใหญ่หรือทุกคนประสบความสำเร็จ การเงินของบ้าน(เกิดจากการเก็บภาษี)ก็เหลือใช้มากขึ้น สวัสดิการดีขึ้นคนจนก็น้อยลง ความหวาดระแวงที่กลัวจะโดนเบียดเบียนจากคนที่ด้อยกว่าก็จะน้อยลง...ทุกคนก็จะอยู่อย่างมีความสุขมากขึ้น...คำว่าคนไทยยิ้มเก่งเป็นสยามเมืองยิ้มของต่างชาติก็คงได้กลับคืนมา.....นี่คือประเทศไทยในความฝันของผม...pjmong.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น