จุดประกาย
ศุภวุฒิ สายเชื้อ ปรับเซลล์ให้หนุ่มสาว
March 6, 2019
by เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ
ไม่อยากเป็นสักโรคเลย จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ถ้าทำเซลล์ไม่แก่ ร่างกายก็ไม่แก่ นี่คือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คนนี้นำงานวิจัยมาใช้กับชีวิตและเขียนบทความให้อ่่าน
ในวัย 62 ปีของ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์แถวหน้า แม้จะเกษียณแล้ว แต่ยังทำงานทุกวัน เป็นที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นวิทยากรรับเชิญ และคอลัมนิสต์ เศรษฐศาสตร์จานร้อน ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และคอลัมภ์ Health Aging หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
หากถามว่า เป็นไปได้ไหมที่คนเราจะไม่เจ็บ ไม่แก่(มีเซลล์แบบคนหนุ่มสาว) เขาบอกชัดเจนว่า ไม่ใช่ความฝัน เป็นไปได้ และมีการศึกษาวิจัยหลายชิ้นสามารถนำมาใช้ได้กับคนทั่วไป
ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา คุณหันมาวิ่งและปรับเรื่องการกิน การนอน ทำไมสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพ
ที่ผ่านมาผมทำงานหนัก ไม่สนใจสุขภาพ คิดว่าร่างกายจะตอบสนองเรา ตอนอายุ 56 ปีสุขภาพไม่ดีเลย อ้วนและไม่สบายปีละ 4-5 ครั้ง ไปหาหมอ ตรวจดีเอ็นเอพบว่า ในอนาคตมีโอกาสเสียชีวิตด้วยเบาหวาน เพราะมีประวัติแม่เป็นเบาหวาน หมอแนะว่า ถ้ากินวิตามินจะช่วยได้ 20 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ต้องช่วยตัวเอง ผมจึงเริ่มศึกษาข้อมูลด้านสุขภาพ ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เลย พยายามดูว่า งานวิจัยอะไรเชื่อถือได้หรือเชื่อถือไม่ได้ เมื่อมีข้อมูลก็รู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต
ตอนนั้นหมอแนะนำว่ายังไง
ไม่ต้องกินอาหารเย็น ให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลและไขมันให้หมด ผมก็ทำตามนั้น ทำมา 6 ปี ตอนนี้น้ำหนักลดลง 12 กิโลกรัม ผมอ่านงานวิจัยของคุณหมอOhsumi ที่ได้รางวัลโนเบล เรื่อง การทำความสะอาดบำรุงรักษาเซลล์ในร่างกาย การอดอาหารเย็นเป็นวิธีหนึ่งในการกระตุ้นให้เซลล์ไม่แก่ และอีกวิธีคือการออกกำลังกาย วิ่ง ทำให้หัวใจเต้นเร็ว สองอย่างนี้ชะลอความแก่ในระดับเซลล์ คนส่วนใหญ่กลัวต้องกินอาหารให้ครบสามมื้อ จำทีมหมูป่าติดถ้ำได้ไหม ไม่ได้กินอาหาร3-4 อาทิตย์ ก็ไม่เป็นไร การอดอาหารในบางครั้งจะทำให้เซลล์ดีและสุขภาพดีด้วย
เป็นการอดอาหารเพื่อปรับสภาพเซลล์?
เคยมีการทดลองให้หนูกินอาหารน้อยมาก จำกัดจำนวนแคลอรี่ 30 เปอร์เซ็นต์ ปรากฎว่าอายุยืนขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ อายุยืนแบบแข็งแรง เพราะฉะนั้นเวลามีคนถามว่า ต้องกินอะไรถึงจะดี ผมบอกว่าอย่ากินเลย หรือกินให้น้อย แต่อย่าอดน้ำ อย่างอิสลามเวลาถือศีลอด ก็ไม่เห็นมีใครเป็นอะไร
เซลล์คนเรา ถ้าถูกกดดันบ้าง โดยการอดอาหารหรือวิ่ง ร่างกายจะแข็งแรง แนวคิดนี้เป็นการรักษาตัวเองในระดับเซลล์ไม่ให้ป่วยด้านใดเลย เพราะผมไม่อยากเป็นสักโรค จึงต้องทำเซลล์ให้หนุ่มสาว
เหตุใดการวิ่งทำให้เซลล์ในร่างกายหนุ่มสาวขึ้น
การวิ่งระดับที่เหมาะสมที่สุด คือ 20-30 กิโลเมตรต่อสัปดาห์ วิ่งมากกว่านั้น หรือ น้อยกว่านั้น ไม่ทำให้แข็งแรงเท่าคนที่วิ่ง 20-30 กิโลเมตร แต่ละครั้งวิ่งไม่เกินหนึ่งชั่วโมงประมาณ 5-7 กิโลเมตร สัปดาห์หนึ่งวิ่ง 3-4 ครั้งก็พอแล้ว ช่วงแรกๆ ผมวิ่ง 3 กิโลเมตร เหนื่อยแทบแย่ ตอนนี้สามารถวิ่ง 5-10 กิโลเมตร เมื่อผมไม่กินข้าวเย็น ผมก็มีเวลาวิ่ง เพราะปกติคนจะคิดว่า หลังทำงานหนัก ต้องกินมื้อเย็นหนักๆ นั่นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด
ถ้าอย่างนั้นการวิ่งมาราธอนก็ไม่ได้ทำให้แข็งแรงมากขึ้น ?
ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ เราจะพยายามคิดเรื่อง ทำในระดับพอดีหรือดีที่สุด ถ้าวิ่งเกินกว่านั้น ไม่มีประโยชน์ ถ้าถามผมว่า เคยคิดจะวิ่งมาราธอนไหม...ไม่จำเป็น แต่ถ้ามีข้อมูลออกมาว่า วิ่งมาราธอนแล้วสุขภาพดีเลิศ ผมก็จะฝึกฝนตัวเองให้วิ่งมาราธอน
หลายคนบอกว่า วิ่งเยอะๆ ทำให้เข่าเจ็บ ?
ผมได้ยินเรื่องนี้เยอะ ผมลองอ่านข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งมีอยู่จำกัดและไม่ใหม่ มีงานวิจัยเรื่องนี้ช่วง 10 ปีหรือ 3-4 ปีที่แล้ว และก็หยุดวิจัย ไม่เคยมีหลักฐานอะไรที่บอกว่าวิ่งแล้วทำให้เจ็บเข่า ยกเว้นเจ็บเข่าอยู่แล้วไปวิ่ง หรือวิ่งผิดท่าแล้วล้ม ถ้าจะวิ่งก็วิ่งให้ถูกวิธี ใช้รองเท้าให้ถูกต้อง ผมวิ่งมาหลายปี รู้เลยว่า เข่าแข็งแรงขึ้น
นอกจากวิ่งและอดอาหาร ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกไหม
ผมอ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับการแก่อย่างมีคุณภาพ พูดง่ายๆ เลยครับ คนเรามีเกิด แก่ เจ็บ และตาย กล้าคิดไหมว่า จะทำชีวิตให้มีแค่เกิดและตาย ไม่แก่ ไม่เจ็บ
แก่อย่างมีคุณภาพ เป็นความท้าทายอีกอย่างในชีวิต ?
ไม่ใช่สิ่งท้าทาย แต่เพื่อผลประโยชน์ของเรา ผมอ่านข้อมูลเยอะ เชื่อได้ว่ามีหนทางไปสู่ตรงนั้น
ทำไมคุณเชื่อว่าทำได้
เพราะเทคโนโลยีมาแล้ว แค่เรื่องออกกำลังกาย การวิ่งมีประโยชน์มากที่สุด ทำให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดแข็งแรง อวัยวะที่ใช้เลือดมากที่สุดคือ สมอง และสมองคนเราหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว แต่ใช้แรงงานกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นวิ่งแล้วเลือดสูบฉีด อวัยวะที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือสมอง
สิ่งที่คนเรากลัวมากที่สุดตอนแก่ คือ อัลไซเมอร์ จะแก้ปัญหานี้ต้องวิ่ง เวลาวิ่งสมองจะสั่งการให้วิ่งอย่างสมดุล วิ่งยากกว่าเดินต้องมองซ้าย มองขวา การวิ่งเป็นการออกกำลังสมอง วิ่งแล้วสมองโปร่ง เวลาคิดอะไรไม่ออก วิ่งแล้วจะคิดออก
คนเราต้องใช้ชีวิตตามวัฏจักรธรรมชาติ หลังพระอาทิตย์ตกต้องหยุดกินและนอน ร่างกายไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอาหารตอนดึกๆ ในงานวิจัยคุณหมอที่ได้รางวัลโนเบล มีการทดลองโดยให้หนูสองกลุ่มกินอาหารเหมือนกัน แคลอรี่เท่ากัน กลุ่มหนึ่งให้กินเวลาไหนก็ได้ อีกกลุ่มให้กินวันละ 8 ชั่วโมง หนูกลุ่มแรก น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นกว่ากลุ่มที่สอง 30 เปอร์เซ็นต์ สรุปว่าช่วงเวลาที่คนกินอาหารมีผลต่อน้ำหนักตัว ไม่ใช่แค่แคลอรี่ คนเราควรกินอาหารในช่วง 8 ชั่วโมงจาก 24 ชั่วโมง ถ้าคุณเริ่มทานอาหารตอน 10.00 น.ก็ควรหยุดทานตอน18.00 น.
ทำอย่างนั้นเป็นการทรมานร่างกายไหม
ไม่ทรมานเลย ปรับได้ ยังมีอีกกรณีในเรื่องการอดอาหาร ในหนึ่งสัปดาห์มีสูตรที่บอกว่า ให้อดอาหารสองวันคือ อังคารกับพฤหัส อันนี้ยากกว่า ส่วนแนวคิดที่ว่ากินแต่โปรตีน งดแป้ง ร่างกายจะได้เผาผลาญไขมัน สามวันแรกไม่กินแป้ง วันที่สี่น้ำหนักลงฮวบ หลายคนชอบทำ อันตรายไม่ควรทำ ในระยะยาวจะไม่ดีต่อสุขภาพ ผมแนะนำให้ทานอาหารพอประมาณภายใน 8 ชั่วโมง และตามใจปากได้ระดับหนึ่ง
นอกจากออกกำลังกายและกินอาหารให้ถูกต้อง ต้องนอนกี่ชั่วโมงถึงจะดี ?
เรื่องนอนสำคัญกว่าที่หลายคนคิด ถ้านอนไม่พอ โอกาสสูงมากที่จะเป็นอัลไซเมอร์ หัวใจและเบาหวาน น้ำหนักขึ้น และภูมิคุ้มกันต่ำ มีหนังสือเรื่อง Why we sleep ของดร. Matthew Walker เขียนออกมาดีมาก เล่าถึงพิษภัยของการนอนไม่เพียงพอ คนเราควรนอนคืนละ 7-8 ชั่วโมง นอนหลับลึก หรือ deep sleep ประมาณคืนละเกือบ 2 ชั่วโมง หลับตื้น 4 ชั่วโมง และหลับฝันประมาณ 2 ชั่วโมง ถ้าครบสุขภาพจะดี ถ้านอนน้อยจะมีฮอร์โมนที่ทำให้หิว คนที่นอนน้อย ก็เลยกินเยอะและอ้วน ถ้าคุณนอนไม่พอสมองจะรกรุงรัง เรียกว่า beta amyloid จะมีเมือกมาเคลือบสมองเพิ่มขึ้่นเรื่อยๆ ทำให้สมองเสื่อม
ถ้าจะทำให้เซลล์ไม่แก่ ต้องดูแลร่างกายอย่างไร
นักวิจัยกลุ่มนี้บอกว่ามาทำเซลล์ในร่างกายให้ดี ไม่ป่วยสักโรคดีกว่า แก้ปัญหาเรื่องความแก่ ผมเชื่อแนวนี้มากกว่ารักษาทีละโรค ไม่อยากเป็นสักโรค ถึงเวลาตายก็ตายเลย อย่างงานวิจัยของดร. Leonard Guerante (MIT) และดร.David Sinclair (มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด)เวลาที่คุณออกกำลังกายและอดอาหาร จะกระตุ้นเซลล์ไม่ให้แก่
หากไม่ออกกำลังกายและไม่อดอาหาร มีวิธีอื่นที่จะทำให้สุขภาพดีไหม
15 ปีที่แล้ว ดร.David Sinclair ทดลองเอาสาร Resveratrol ในไวน์แดง เอาสารตัวนี้ไปฉีดในหนูทำให้หนูอายุยืน ผู้ศึกษาบอกว่า ถ้าจะทำให้คนอายุยืน ร่างกายต้องได้รับสารResveratrol เพียงพอ ต้องดื่มไวน์แดงวันละ 300 แก้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ทำให้คนจำได้ เพราะสารตัวนี้ไปกระตุ้นโปรตีนที่เรียกว่า circuven ซึ่งจะเข้าไปจัดการให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น
แต่ปรากฎว่ามีสารอีกตัว NAD+ ซึ่งดีกว่า เป็นตัวที่กระตุ้นยีน circuven คนที่อายุ 20 จะมีอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนคนอายุ 50 จะเหลือแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ พบว่าทำให้เซลล์เป็นหนุ่มสาว ตอนนี้มียาที่ผลิตออก ขายที่ฮ่องกงและสิงคโปร์เรียก Niagen กินไปแล้วจะทำให้หลับดี และทำให้ฝัน
ตอนเด็กๆ เราจำได้ว่าเราฝัน เพราะสมองเราพัฒนา แต่พอแก่แล้วทำให้เลิกฝัน เพราะสมองหยุดพัฒนา พอกินยาชนิดนี้แล้วฝันแสดงว่า สมองพัฒนาใหม่ และตื่นขึ้นมาสดใส ถูกรับรองว่าปลอดภัยแล้ว แต่ไม่มีรัฐบาลไหนในโลกนี้ยอมรับว่า ความแก่เป็นโรค รัฐบาลไม่ยอมขึ้นทะเบียนว่าเป็นยารักษาโรคแก่
แล้วเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ทำให้เซลล์กลับมาหนุ่มสาวมีอีกไหม
ยังมีอีกสามส่วน อันหนึ่งมีการทดลองอยู่และพบว่า ยารักษาโรคเบาหวาน Metformin กินไปแล้วมีผลข้างเคียงทำให้อายุยืนและแข็งแรง ตอนนี้ทางมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดกำลังทดลอง อีกอันคือ Target of Rapamycin (TOR) หลักการ คือ ยาที่ช่วยให้คนที่ปลูกถ่ายอวัยวะร่างกายไม่ปฎิเสธ ยานี้ช่วยกดภูมิต้านทานให้ยอมรับ มีผลข้างเคียงทำให้อายุยืน มีการทดลองกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่สบายเป็นโรคหัวใจ ทำให้ฟื้นตัวและอายุยืน ตอนนี้มีการศึกษาวิจัยที่พบว่า บางทีเซลล์ในร่างกายเราตาย แบบไม่ตาย กลายเป็นเซลล์ซอมบี้ และเซลล์ส่วนนี้ทำให้เซลล์อื่นเป็นซอมบี้ไปด้วย มีบริษัทสตาร์อัพสามสี่แห่งกำลังหายาฆ่าซอมบี้เซลล์ ถ้าฆ่าได้ เซลล์ในร่างกายจะกลับมาหนุ่มสาว
ดูมีความหวังที่จะทำให้คนป่วยน้อยลง?
ยังมีงานวิจัยเป็นสิบๆ เรื่องที่นักวิจัยพยายามทดลอง อย่างดร.David Sinclair นอกจากงานวิจัยที่กล่าวมา เขายังได้เงินจากนาซ่าให้วิจัยต่อ เพื่อผลิตยาให้นักบินขึ้นยานไปดาวอังคาร โดยไม่เป็นมะเร็งตายก่อน เพราะระหว่างทางนักบินต้องโดนกัมมันตภาพรังสีตลอดทาง ถ้าทำกินยาที่สามารถป้องกันมะเร็งได้ ก็ไม่ต้องสร้างยานหนักๆ โดยดร.David ร่วมมือกับโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่นทำการทดลองผลิตยา NMN ออกมาขายแพงมาก ผมกำลังติดตามการวิจัยเหล่านี้ มันมีอนาคต ผมเดาว่าอีกยี่สิบปี คงต้องมียาที่ได้รับการรับรองในระดับเซลล์
คุณวางเป้าหมายว่า จะมีชีวิตอยู่ถึงอายุเท่าไหร่
ผมไม่รู้ ไม่ได้สนใจ แต่อยากสุขภาพดีจนถึงวันสุดท้าย ถึงเวลาต้องตายก็ตายเลย
ฝันไปหรือเปล่า
ไม่ใช่ความฝัน เป็นความจริง และมีความเป็นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากออกกำลังกายและทำแบบที่ผมพูด 6 ปีผ่านมา ผมสุขภาพดีขึ้น ผมเดินทางไปไหนก็ได้ ไม่ปวดหลัง ไม่เจ็บเข่า และปรากฎว่าเวลาผมพูดหรือบรรยายเรื่องสุขภาพ คนสนใจมากกว่าเรื่องเศรษฐกิจ เพราะเรื่องสุขภาพไม่มีคนเรียบเรียงและวิเคราะห์ข้อมูลแบบนี้ออกมา ผมต้องค่อยๆ แกะงานวิชาการภาษาอังกฤษใช้เวลาเป็นปีๆ
ถ้าอายุยืนมากๆ ต้องเตรียมเรื่องการเงินอย่างไร
แนวทางนี้ไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจครอบครัวและคนใกล้ชิด ใช้เงินน้อย แต่ต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ผมคิดว่าแนวคิดนี้จะถูกต้องในระยะยาว ดิสรัประบบสาธารณสุข ถ้าทำได้โรงพยาบาลจะว่าง
คนในโลกนี้ ควรมีอายุขัยเท่าไหร่
ไม่ว่าประเทศพัฒนาหรือไม่พัฒนา จะมีช่วงที่คนอายุยืน 75-85 ปี พอถึงจุดหนึ่งสุขภาพเริ่มเสื่อม ป่วยและเจ็บก่อนตายนาน 6-10 ปี แก่แบบไม่แข็งแรง แต่สิ่งที่ผมศึกษาคือ ถ้าแก่แล้วใช้ชีวิตได้ปกติ จะตายเมื่อไหร่ ไม่ว่ากัน แต่ต้องไม่เจ็บไม่ป่วย สมมติว่าผมอายุยืนถึง 85 ปี ถ้าไม่สบายก็อยากให้เป็นช่วงอายุ 84 ปี 11 เดือน 29 วัน ไม่สบายวันเดียวตายเลย ช่วงที่แก่แล้วเจ็บป่วยสั้นที่สุด ถ้าป่วยนานๆ มีผลต่อเศรษฐกิจ และเป็นภาระสำหรับคนรอบข้างและลูกหลาน
ในงานวิจัยปี 2018 ในประเทศไทยคนอายุ 60 ปีกว่าๆ มีอยู่ 12 ล้านคน ปี 2040 คนกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 20 กว่าล้าน ผมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ต่อไปจะเป็นภาระทางเศรษฐกิจ ส่วนคนวัยทำงาน ช่วงอายุ 25-44 ปีในช่วงปีเดียวกัน จะลดปริมาณจาก 20 ล้านคนเหลือ 15 ล้านคน และคนช่วงอายุ 45-54 ปี จะลดลงจาก 11 ล้านคนเหลือ 9 ล้านคน
คนวัยทำงานกลุ่มนี้จะหายไป 7 ล้านคน คนสูงวัยกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้น 8 ล้านคน จะทำให้รัฐบาลคงต้องเก็บภาษีคนวัยทำงานเยอะขึ้น เพื่อมาเลี้ยงคนไม่ทำงาน และคนป่วย แต่
แก่แล้วต้องสุขภาพดี ไม่อย่างนั้นเป็นภาระทางเศรษฐกิจ ?
ย้ำนะครับไม่ต้องการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะไม่อยากเป็นสักโรค