วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

การบ้านของครูเวียดนาม

การสอนหนังสือของครูเวียดนาม น่าสนใจมาก เขาจะให้การบ้านเด็ก วันละ 5 ข้อ
คำถาม..เขาถามเหมือนกันทุกวันคือ
1.วันนี้เธอช่วยพ่อแม่ทำงานอะไรบ้าง?
2.วันนี้เธอทำความดีกับคนอื่นอย่างไรบ้าง?
3.ที่บ้านเธอมีข่าวท้องถิ่นอะไรน่าสนใจบ้าง?
4.มีข่าวการเปลี่ยนแปลงอะไรในประเทศเธอบ้าง?
5.ในโลกของเรามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
เราเห็นอะไร...จากการบ้าน 5 ข้อนี้บ้าง...
เขาสอนให้เด็กกตัญญู ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ไม่งั้นจะตอบโจทย์ข้อ 1 ไม่ได้
ต้องทำความดีทุกวัน สอนให้เป็นคนดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น..ไม่งั้นจะตอบโจทย์ข้อ 2 ไม่ได้
สอนให้เด็กรู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว ติดตามข่าวสาร ว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง...ต้องปรับตัวยังไงให้สอดรับความเปลี่ยนแปลง update ตัวเองตลอด ติดตามข่าวสารตลอด ไม่งั้นจะตอบข้อ 3-4 ไม่ได้
สุดท้ายเขาสอนให้เด็กมี vision ดูว่าโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว รู้เท่าทันเขา ปรับตัวให้อยู่รอด แต่ไม่จำเป็นต้องเลียบแบบเขาทุกเรื่อง.. เขาสอนให้เด็กคิด ต้องใช้ความคิด ต้องมีจินตนาการ จึงจะตอบโจทย์ได้ เด็กต้องคิดอย่างนี้ทุกวัน...ทำความดีทุกวัน...กตัญญูทุกวัน...3 ปี...5 ปี...7 ปี...10 ปี...20 ปี จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กพวกนี้..น่าคิด
ขอขอบคุณที่มา : Ramet Tanawangsri

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มีเงินแสนทำไรดี

มีเงินเก็บ 100,000 ลงทุนอะไรดี

ที่จริงคำถามว่า “มีเงินเก็บ....ลงทุนอะไรดี” นั้น มีถามกันเข้ามาตั้งแต่เงินหมื่นไปจนถึงเงินล้าน แต่ที่ฮิตที่สุด ก็คือตัวเลข 100,000 บาท นี่แหละ

อาจเป็นเพราะตัวเลขดังกล่าวนั้นเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเกินไปจนหวังผลอะไรจากการลงทุนไม่ได้ และก็ไม่มากเกินไป จนคนส่วนใหญ่มีเงินไม่ถึง

แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ การตั้งคำถามว่า “มีเงินเท่านั้นเท่านี้ ... ฉันควรลงทุนอะไรดี” นั้น เป็นคำถามที่ผิดตั้งแต่เริ่มต้นถาม เพราะมันสะท้อนถึงทั้งในเรื่องของความมักง่าย และ mind set ทางการเงินที่ผิด

มาเริ่มกันที่อุปนิสัย “มักง่าย” ในการลงทุนกันก่อน ....

ตัวผมเองเป็นคนหนึ่งที่แอบรู้สึกขัดใจเสมอ เวลาได้ยินกูรูทางการเงินบางท่านตอบคำถามผ่านรายการวิทยุและโทรทัศน์ เช่น ดิฉันมีเงิน 10 ล้าน ท่านกูรูคิดว่าดิฉันควรเอาไปทำอะไรดี

“ถ้าคุณมีเงิน 10 ล้าน คุณควรเอา 3 ล้าน ไปซื้อบ้าน 2 ล้านไปซื้อพันธบัตร 3 ล้าน ไปซื้อทองคำและกองทุนรวม และที่เหลือฝากธนาคารเอาไว้”

ฟังแล้วตลกดี เพราะดูแล้วมักง่ายทั้งคนถามและคนตอบ

คุยกันยังไม่ถึง 2 นาที วางแผนชีวิตให้เสร็จสรรพ เป้าหมายชีวิตเขาเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ ภาระทางการเงินมีอะไรบ้าง ก็ยังไม่เข้าใจ แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ชอบ เพราะมันไม่ต้องคิดมาก แค่เทน้ำร้อน ก็กินได้เลย

คำถาม คือ เราเชื่อคำแนะนำของกูรูทางการเงินเหล่านั้นได้อย่างไร?

เขาเป็นใคร เขารู้หรือไม่ว่าเรามีวัตถุประสงค์ในการลงทุนอย่างไร ต้องการผลกำไรจากการลงทุนเท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้แค่ไหน มีแผนการเงินต้องใช้จ่ายหรือมีภาระอะไรบ้าง และถ้าเชื่อเขาแล้วขาดทุนขึ้นมา ใครรับผิดชอบ ฯลฯ

จากคำถามข้างต้นจะเห็นว่า ไม่มีใครตอบได้ว่า ลงทุนอะไรดีได้เท่ากับเจ้าของเงิน หรือตัวเราเองหรอกครับ

ดังนั้น ถ้าคุณมีเงิน 1 แสน และกำลังหาวิธีทำให้มันงอกเงยสิ่งแรกที่คุณควรใส่ใจก็คือ “การลงทุนในตัวเอง” โดยการเติมความรู้ให้กับตัวเองเป็นอันดับแรก

คุณสนใจลงทุนเรื่องอะไร ก็ลองลงทุนเวลาหาหนังสือหนังหามาอ่าน เสิร์ชกูเกิ้ล ดู Youtube เข้าสัมมนา หรือแบ่งเวลาไปพูดคุยกับคนที่ลงทุนในแบบเดียวกันกับที่คุณสนใจ เพื่อเติมความรู้ จะได้สร้างแผนการและเลือกลงทุนได้เอง

อย่าทำตัวมักง่าย เหมือนรายการหุ้นในโทรทัศน์

ซื้อตัวนั้นดีมั้ย ราคาเท่าไหร่จึงจะซื้อได้ ซื้อแล้วขายได้ที่เท่าไหร่ดี ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ สรุปแล้วคนถามไม่รู้เรื่อง อะไรเลย และไม่ได้คิดอยากจะรู้ด้วย ซื้อหุ้นเหมือนซื้อหวย แทงตามเลขดังเลขเด็ด หุ้นตัวนั้นทำธุรกิจอะไรก็ไม่รู้ พอซื้อถือไว้สักพักก็หงุดหงิดงุ่นง่าน ข่าวดีข่าวร้ายผ่านเข้ามางงไปหมด จะขายหรือจะถือต่อก็ไม่รู้ สุดท้ายแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิมคือโทร.ถามคนที่แนะนำให้ซื้อ

แบบนี้ไม่เรียกว่า “การลงทุน” นะครับ

จำไว้ว่า “เงินจะไม่อยู่กับคนที่ไม่ฉลาดทางการเงิน” ดังนั้นต่อให้มีเงินเป็นล้าน แต่ขาดความรู้ทางการเงิน ก็หมดตัวได้ครับ

ดังนั้น จะลงทุนอะไร ไม่ต้องไปถามใคร ถามตัวเอง สนใจอะไรก็เอาเวลาไปศึกษาหาความรู้ในเรื่องนั้น เก็บเงินไว้ก่อน ไม่ต้องรีบใจร้อน และอย่าจ่ายเงินลงทุนอะไรโดยไม่รู้อย่างเด็ดขาด

อีกเรื่องก็คือ อย่าไปยึดติดกับเงินในมือ และเผลอใช้มันเป็นตัวกำหนดขนาดการลงทุนของตัวเอง

ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่คนมีเงินเก็บหลักพัน จะลงทุนบ้านเช่า ราคา 3 ล้านได้

เพราะธนาคารไม่เคยดูเงินเหลือเก็บจริงๆ เขาดูแค่สลิปเงินเดือนว่ามีเงินเดือนเข้าจริงตามที่บอกหรือไม่ ดูว่ามีติดหนี้ที่ไหนอย่างไรต่อให้เงินไม่เคยเหลือ แต่ถ้าสลิปเงินเดือนถึง ไม่มีหนี้เสีย แค่นี้ก็มีสิทธิ์เป็นเจ้าของบ้านเช่าได้แล้ว

โจทย์ทั้งหมดจึงกลับไปอยู่ที่ “คุณมีความรู้ทางการเงินหรือไม่” เพราะ ถ้าคุณมีความรู้ทางการเงิน ต่อให้ไม่มีเงิน คุณก็สามารถ
ลงทุนได้

เริ่มต้นง่ายๆ ที่ตัวเอง ถามตัวเองสิว่า สนใจจะลงทุนในอะไรแล้วเลือกศึกษาจากสิ่งนั้น จะเป็นธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือทองคำ ก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญ คือ ต้องรู้และเข้าใจในสิ่งที่ลงทุนให้มากพอ ก่อนที่จะใส่เงินลงไป และอย่าโลภจนเกินไป จนเผลอเอาผลตอบแทนเยอะๆ เป็นเป้าหมายการลงทุน โดยไม่ประเมินความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง

High Understanding, High Return : ยิ่งคุณรู้จักสิ่งที่คุณลงทุนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งได้รับผลตอบแทนจากมันมากขึ้นเท่านั้น

และจงอย่ามักง่าย เพราะความมักง่ายไม่เคยทำให้ใครรวย

#TheMoneyCoachTH

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ความคิดแนวพอเพียง

วันนี้มีเรื่องคุยให้ฟังอีกสักเรื่อง เกิดจากประสบการณ์จริงอีกสักเรื่องครับ เมื่อสองวันก่อนผมหางานบ้านทำตามโครงการ ""งานบ้านหนึ่งวันหนึ่งงาน""
    ก็ไปยกพัดลมตั้งพื้นที่มันเสียไปแล้วออกมารื้อดูเผื่ออาการจะไม่หนักหนาจะปลุกมันขึ้นมาใช้งานได้อีก สภาพก็ยัง ok อยู่  พอเอามารื้อดูลวดทองแดงมันกรอบหมดแล้ว บังเอิญตอนนั้นพี่สาวกับแม่มาเยี่ยม เห็นถอดเป็นชิ้นๆ เลยบอกว่าไม่ต้องประกอบแล้ว ให้ไปกองข้างถนนเดี๋ยวคนเก็บขยะก็มาเอาไปเองแหละ แบบนี้เขาไม่ซ่อมกันแล้ว ซื้อใหม่ดีกว่า ผมก็หอบใส่ถุงขยะ เขาจะได้เก็บไปง่ายๆ เอาไปกองริมถนน กลับมานั่งสักพัก กลับมานั่งคิดดูแล้วถามตัวเองว่า คนสมัยนี้ชีวิตมันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ..??มันเป็นค่านิยมใหม่ ที่คนไทยสมัยนี้เขาคิดแบบนี้เป็นส่วนมากแม้แต่พี่สาวเรา,แม่เราที่เป็นคนเก่าแก่ ก็ยังคิดแบบนี้กัน แล้วมันถูกต้องแล้วหรือ คือของเสียไม่ซ่อมทิ้งแล้วซื้อใหม่....ผมว่าไม่น่าจะใช่นะครับ ยิ่งสมัยนี้กับประเทศไทยที่เศรษกิจกำลังถอยเพราะหารายได้เข้าประเทศไม่ค่อยได้มีแต่เงินออก เราน่าจะฝึกนิสัยการคิดแบบมีเหตุผลในการใช้ความคิดกับการแก้ปัญหาต่างๆให้เยอะกว่านี้
   ก่อนที่คนเก็บขยะจะมาขนเอาไปผมรีบไปเอากลับมาไว้ก่อน แล้วเอาแต่ตัวมอเตอร์อย่างเดียว เตรียมเอาไปพันใหม่ พี่สาวมาเห็นก็ว่ามันจะไม่คุ้มค่าน้ำมันรถเอามอเตอร์ไปพันใหม่ที่บ้านหม้อ (ตอนนั้นไม่รู้ว่าค่าพันใหม่เท่าไหร่ แต่รู้ว่า ค่าน้ำมันรถสัก 100 แค่ตลิ่งชันกับบ้านหม้อไม่เท่าไหร่ ซื้อใหม่ก็ต้องเดินทางเหมือนกัน ส่วนนี้เจ๊ากันไป) ถ้าซื้อใหม่ก็ ประมาณ 1500 ถ้าเอาไปพันใหม่ถึง 7-800ก็ไม่น่าจะคุ้มประมาณว่าเท่าทุนถ้าดูจากสภาพมันด้วยกับเวลาที่เสียไป ถ้าจะให้คุ้มก็หางานอื่นเพิ่มซิ..!ก็เลยปีนขึ้นไปถอดพัดลมเพดานที่มีโคมไฟ(ภาษาอังกฤษเรียกว่า Light-Fan)ที่พัดลมมันเสียมานานแล้ว ตัวงานเสริมนี่กลับยุ่งยากกว่างานเดิมอีกแฮะ..!!หนักก็หนัก ปีนบันได้ถอดอีก แต่เมื่อตั้งใจแล้วไม่ควรทิ้ง เพราะนิสัยแบบนี้ต้องฝึก คือคิดจะทำอะไรแล้วต้องไม่ทิ้งกลางคันเพราะแค่เหนื่อย ,ท้อ
   ถอดออกมาก็รื้อเลย ล้างอุปกรณ์ เหลือแต่มอเตอร์ เอาทั้งสองตัวไปบ้านหม้อ เพื่อนบ้านเลยขอโดยสารเอาลำโพงไปพันใหม่ด้วยคน ไปถึงก็แยกกันร้านใครร้านมัน เพื่อนบ้านไปพันร้านซ่อมลำโพง  แค่วันรุ่งขึ้นเองเขาโทรมาว่าเสร็จแล้ว .อะไรจะเร็วปานนั้นเมื่อก่อนสี่ห้าวันเดี๋ยวนี้เขาขยันทำงานให้ลูกค้าประทับใจขนาดนี้ มอเตอร์พัดลม ขนาดกลางลูกนึง ขนาดใหญ่ลูกนึง ลำโพงเบส อีกหนึ่ง วันเดียวเสร็จ...พระเจ้า...!! ก็รีบไปเอาครับ ของกองเต็มบ้านเกะกะรีบให้มันจบๆไป เอาเพื่อนบ้านไปด้วยไม่อยากยุ่งเรื่องของเขา (ที่เล่าเรื่องเพื่อนบ้านเนียะเพราะมีเรื่องต้องเล่าครับ มีสาระสำคัญเสียด้วย ติดตามต่อไปนะครับ...)
  สรุปผมจ่ายค่าพันมอเตอร์ใหม่ พัดลมตั้งพื้นมอเตอร์ขนาดกลาง 150 (ซื้อใหม่ 1500) ,พัดลมเพดาน 450+ลูกปืนหัวท้ายอีก 50=500(ซื้อใหม่ 4500-5000 ประมาณนั้น) เห็นไหมครับ การทำแก้ปัญหาด้วยสติ ทำให้หาเหตุหาผลเจอ ผมใด้กับได้ประหยัดเงินไปได้ หลายตังค์ ,ของที่เคยเกะกะบ้านใช้งานไม่ได้ก็ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ ได้พัตนาสมอง ออกกำลังด้วย (กว่าจะถอด กว่าจะรื้อ ทำความสะอาด ประกอบใหม่ติดตั้งใหม่ ไม่เบาเลยนะ ต้องใช้กำลังใจเยอะอีกด้วย) และเหตุผลสำคัญอีกข้อที่ผมคิดก่อนจะเดินออกไปเอากองขยะที่ตัดสินใจทิ้งไปแล้วเอากลับไปซ่อมนั่นนะ คือ ..ถ้าผมทิ้ง คนเก็บขยะก็เอาแต่ละส่วนแยกชั่งกิโลขาย แต่ถ้าได้ใช้งานมันได้ มีค่ามากกว่ากองขยะที่ชั่งกิโลขายหลายเท่านัก อีกอย่าง ถ้าซื้อใหม่ เงินของเราก็ไปจุกอยู่ที่เจ้าของโรงงาน ยิ่งถ้าเป็นแบรนนอก(ต้องนอกอยู่แล้ว เพราะของไทยไม่เห็นจะมี)เขาก็แบ่งเงินของเราเป็นค่าแรงให้คนงานไทยสักหน่อย กับจ่ายภาษีให้รัฐบาลไทยอีกเล็กน้อย ส่วนที่เหลือเข้ากระเป๋าหอบกลับบ้านเขาไป แต่ถ้าเอาไปซ่อม คนไทยระดับรากหญ้าที่เปิดร้านเล็กร้านน้อยซ่อม ก็มีงานทำ มีเงินเข้าครอบครัว ผมว่าเป็นการกระจายรายได้นะครับ ผมว่าถ้าของในบ้านเสีย ถ้ามันไม่เหลือเกินจริงน่าจะซ่อมนะครับ ได้ประโยชน์มากมาย ทั้งทั้งทางตรงทางอ้อม บ้านผมบ้านเดียว ประหยัดเงินไป 3-4 พัน ถ้าสักล้านครอบครัวจะเท่าไหร่ และทำให้คนไทยระดับร้านซ่อมมีรายได้อีกหลายครอบครัว ซื้อใหม่เงินไหลไปให้ต่างชาติ
      อีกเรื่องนี่ซิ...เจ็บ..!!! เจ้าลำโพงที่เพื่อนบ้านเอาไปซ่อม บอกว่าพันใหม่ จ่ายไปเท่าไหร่ไม่ได้ถาม ผมเดินไปดู...เห็นแล้วไม่กล้าทัก แต่แอบโทรไปหาร้านพัดลมผม แอบบอกเขาว่าช่วยไปถามร้านซ่อมลำโพงหน่อยว่าเขาพันใหม่ให้เพื่อนบ้านผมจริงหรือเปล่า ผมว่าจะไม่ไปบอกหรอก แค่ต่อสายอย่างเดียวใช่ไหม เพราะมันไม่เห็นลวดใหม่เลย แถมพันใหม่ต้องได้กลิ่นน้ำยาวานิชเคลือบลวด  คำตอบคือ ..จริง..!!ลักไก่ไม่ได้พันใหม่ ...ดูเถอะ..!!คนไทย...
    ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมันมีเรื่องสอนใจผมอยู่สองอย่าง คือ เราควรพยายามอุดหนุนคนไทยด้วยกัน อีกเรื่องคือ ฝ่ายร้านค้าที่เปิดบริการ น่าจะมีจิตสำนึก ซื่อสัตย์กับอาชีพตัวเอง ทำแบบนี้ก็ถือว่าทำลายอาชีพตัวเอง และทำลายคนอื่นอีกด้วย ...pjmong...

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

Pw ...ส่งแล้..1

หลัก 5 คิด ให้ชีวิตดีขึ้น

ก่อนคิดรวยให้คิดช่วยคนอื่นก่อน ..แล้วที่คิดรวยจะสัมฤทธิ์ผลง่ายขึ้น (จริงดิ?)'

ขอบอกว่าอันนี้จริงครับ ...คนเดี๋ยวนี้คิดแต่จะรวยเร็วก่อน ก็เลยไม่รวยไง ..เพราะคิดรวยเร็วแค่ไหนก็ทำให้เรายิ่งมองแคบ มองสั้นมองเฉพาะตัวเอง -- ก็มองแบบนี้มันก็ยิ่งไม่เห็นโอกาสแล้วจะไปรวยได้อย่างไงครับ ?

วิธีคิดสั้นนี่ง่ายมากนะ ..ถ้าอยากมีเงินล้านชั่วข้ามคืน ก็ซื้อหวยซิ ..แต่โอกาสถูกมันแทบเป็นศูนย์ ..เชื่อไหม คนเหล่านี้ก็ยังหาข้ออ้างว่า นี่ไง 'คนนั้นยังถูกหวยเลย' -- จริง!! เขาถูกแต่เอ็งน่ะไม่ถูก เข้าใจตรงกันนะ !!

วิธีคิดยาวมันคิดยาก แต่ถ้าฝึก เราก็จะเปิดโอกาสในชีวิตให้ตัวเรเองมากขึ้น มาดูวิธีคิดยาวแบบง่ายๆ ลองฝึกดู

1. 'คิดว่าจะทำให้บริษัทที่เราทำงานหาลูกค้าได้มากขึ้น' อันนี้คือ คิดให้เรามีอนาคตในที่ทำงาน

2. 'คิดวิธีแก้ปัญหาให้คนอื่น' อันนี้คือ idea ตั้งต้นของธุรกิจ เช่น Google แก้ปัญหาการหาข้อมูลบนเน็ต , UBER แก้ปัญหาแท๊กซี่ทั่วโลก

3. 'คิดวิธีช่วยให้คนมีชีวิตดีขึ้น' อันนี้ Idea ตั้งต้นของนักเขียนและวิทยากรเลย อาชีพอ้าปากก็ทำเงิน ก็เริ่มจากคิดวิธีช่วยคนอื่นให้คิดเป็นทำเป็น

4. 'คิดเพื่อคนอื่นก่อนตัวเอง' อันนี้ Idea ตั้งต้นของ 'ผู้นำ' ..The Leader eat last ผู้นำ คือคนที่เอาประโยชน์ของคนอื่นเป็นที่ตั้ง ประโยชน์ของตัวเองมาทีหลัง

5. 'คิดเพื่อลูกเพื่อหลาน' อันนี้ถ้าตระกูลไหน ผู้นำตระกูลคิดไกล วันนี้ลูกหลานก็รวย

ตาม Concept  'รุ่นปู่ หาเงินเพื่อเก็บ - รุ่นพ่อ ทำงานเพื่อสานต่อ - รุ่นลูก ชีวิตใช้ซะ' ..แปลกใจไหม ที่คนสมัยก่อนรวย แต่คนยุคนี้รวยยากและหาโอกาสในชีวิตยาก -- ไม่แปลก !! 'ก็มรึง คิดสั้น ไง สาดดด ..555'

-- ฝึกคิดให้ยาวขึ้น แล้วโอกาสในชีวิตจะเปิดขึ้นครับ จัดไป !!

       มนุษย์เงินเดือน มีกี่อย่าง

'มนุษย์เงินเดือน 4 แบบ'

ใครเป็นแบบใด จะมีค่าจ้างตามแบบนั้น ..หลายคนหลงคิดว่า ฉันเรียนสูง บ้านมีฐานะ อาจจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องอยู่ในกลุ่ม

ไม่เลย !! ...สุดท้ายหากเราเป็นมนุษย์เงินเดือน เราต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่ง เพื่อไปต่อในด่านถัดไปนะครับ -- 'คุณได้ไปต่อนะคร๊าบบ!!'

หนึ่ง : 'มนุษย์เงินเดือนหลักลอย' ..หลักลอย ก็คือ หลักร้อย ..หาเงินค่าจ้างขั้นต่ำ ..งานที่ทำคืองานที่จ้างเราให้ไปยืนหรือนั่งตรงนั้นแหละ ..งานนี้วัดผลจากสองอย่าง คือ หนึ่ง จำนวนชิ้นที่ทำ สอง วัดจากชั่วโมงที่นั่ง ..และจุดเด่นของงานนี้คือ ใครทำก็ได้ ใช้เวลาเรียนรู้งานไม่นาน ..ถ้าถามนายจ้าง เขาอยากเอาเครื่องจักรมาแทนคนงานเหล่านี้มากๆ ...ถ้างานใครเป็นแบบนี้คือ 'มนุษย์เงินเดือนหลักลอย' ..แนะนำให้พัฒนาตัวเอง เพื่อเปลี่ยนหลักอย่างด่วน !!

สอง : 'มนุษย์เงินเดือนหลักหมื่น' ...งานนี้ต้องมีบัตรผ่านเข้างานเป็นใบปริญญา ยิ่งถ้าเราเรียนเก่งจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ ..งานนี้ต้องมีความรู้แต่ใครจบปริญญาก็ทำได้ทั้งนั้น ..ใช้เวลาเรียนงานไม่นานมาก ..วัดผลตามจำนวนชิ้นงาน และ เวลาที่เราใช้ ..คนที่จะรุ่งในหลักนี้ ต้องทำงานตามโจทย์ได้ดี ..'สั่งง่าย ทำไว ใจสู้'

สาม : 'มนุษย์เงินเดือนหลักแสน' ..อันนี้เกินใบปริญญาละ มาวัดที่ความเชี่ยวชาญ ..คนที่เงินเดือนหลักแสน ต้องมีความเชี่ยวชาญบางอย่างที่โดดเด่น ...งานนี้ไม่ใช่ใครทำก็ได้ ต้องเป็นฉันเท่านั้น เช่น ถ้าพี่เบิร์ดไม่มาร้องเพลงในงานคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดๆ ก็งานล่มอย่างเดียว ..อันนี้แหละงานของมนุษย์เงินเดือนหลักแสน ...เราเป็นผู้เชี่ยวชาญ เราได้รับการยอมรับ และไม่ใช่ใครๆ จะมาแทนเราได้ ...งานแบบนี้ดีทุกอย่าง เงินดี ชีวิตรุ่ง แต่จะไม่มีเวลาให้ตัวเอง เพราะ นี่คือ ระดับสูงสุดของมนุษย์เงินเดือนที่ขายเวลาแลกเงิน

สี่ : 'มนุษย์เงินเดือนหลักสี่' ...เข้าสี่แยกเลยครับ ..คนที่มาถึงหลักสี่ได้ ส่วนมากเคยผ่านมาทุกหลัก แล้วรู้จักพัฒนาตัวเอง ให้เปลี่ยนหลักมาเรื่อยๆ ...ส่วนใหญ่คนที่เก่งมากๆ จะมาติดอยู่ตรงหลักแสน แต่คิดไม่ออกว่า จะไม่ขายเวลาแลกเงิน จะทำอย่างไร ...มนุษย์เงินเดือนหลักสี่ คือ คนที่แยกตัวเองออกจากงานโดยการสร้างผลงานที่ทำงานแทนตัวเอง ...เพราะตัวเราทำเงินได้ แต่ผลงานเราจริงๆ ก็สร้างเงินได้ - คนที่จะเก่งในหลักนี้ ต้องคิดเรื่องการสร้างผลงานที่ทำเงิน

ลองสำรวจดูซิครับว่า เรากำลังอยู่ในมนุษย์เงินเดือนหลักไหน ? ...ทุกหลักเปลี่ยนไป ถ้าเรารู้จักพัฒนาตัวเอง

เปลี่ยนตัวเอง ให้เปลี่ยนหลัก!!

    รักตัวเองให้มาก
ผมชอบตัวเอง แล้วคุณชอบตัวเองไหม'

วันนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบตัวเอง เพราะมัวแต่ทำตัวเองให้ทุกคนชอบ ..บอกตรงๆ ถึงแม้สุดท้ายทุกคนชอบคุณ(ซึ่งเป็นไปไม่ได้) แต่คุณจะค่อยๆ ไม่ชอบตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

'ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น' ..สมัยเด็กๆ ผมได้รับการติ๊กในสมุดพกว่า 'เป็นที่รักใคร่ชอบพอ ชนะใจผู้อื่น' ..เวลานั้นผมคิดว่า จะทำอย่างไรก็ได้ให้ทุกคนชอบผม -- รู้ไหมว่า 'เหนื่อยครับ' เพราะทำไงก็ตามก็ต้องมีบางคนไม่ชอบผมอยู่ดี

นั่นแหละจุดที่ผมเริ่มคิดได้ ...'แล้วผมจะมานั่งทำให้คนที่ไม่ชอบ ให้ชอบทำไม เสียเวลา -- สู้เอาเวลามาทำสิ่งที่ทำแล้วผมชอบตัวเองมากขึ้นน่าจะดีกว่า'

ครับ!! เดี๋ยวนี้ผมเลือกเยอะ แต่ผมเลือกทำในสิ่งที่ผมชอบ เช่น งานที่ผมทำแล้วมันอธิบายตัวผม ทำแล้วภูมิใจในผลงาน ผมก็จะเลือก Focus เวลาที่มีจำกัดของผมไปที่ตรงนั้น

สรุปคือ ชีวิตผมดีขึ้น เริ่มมีผลงานมากขึ้น และ ผมได้ทำสิ่งที่ผมถนัดมากขึ้นเรื่อยๆ

ใช่ !! สิ่งที่ผมอยากแชร์ให้คนรุ่นใหม่วันนี้คือ เราต้องแคร์ตัวเองให้มากขึ้น นี่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว เพราะ เมื่อคุณเริ่มหาตัวเองเจอ คุณจะรักตัวเองมากขึ้น รักสิ่งที่ทำ และ สุดท้ายคุณจะรักคนอื่นมากขึ้น

เมื่อคุณรักคนอื่นมากขึ้น เมื่อนั้นโอกาสที่เราไม่เคยคิดจะได้มา จะวิ่งเข้ามาแบบน่าอัศจรรย์ ...เชื่อซิ ไม่มีความบังเอิญในโลก มันมีแต่การกระทำของเราเอง ที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้ชีวิตเรา
..Pw.....Fw by pjmong


วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

รถไฟฟ้า จากรถมือ2

ไม่ต้องซื้อรถไฟฟ้าราคาแพงแล้ว เอารถใช้น้ำมันคันเก่ามายกเครื่องออกจ่าย 2แสน ใส่เครื่องไฟฟ้าแทน.. ก็วิ่งได้แล้ว ไทยทำไทยใช้ ทำความเร็วได้ถึง 130 กม.ต่อ ชม. ใช้งานได้ 140 กม.ต่อการชาร์จไฟฟ้า 8 ชม. ค่าใข้จ่าย กม.ละ 50 สต. 100 กม.เพียง 50 บาท.

EGAT กฟผ. ทดลองถอดเครื่องยนต์ออกจากรถยนต์แล้วนำชุดมอเตอร์และแบ็ตเตอรี่ใส่แทนเพื่อให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า รถต้นแบบ ได้ออกทดลองวิ่งจริงแล้ว ปรากฎว่าทำความเร็วได้ดี ประหยัดค่าใช้จ่ายมาก
ในสามปีข้างหน้า EGAT จะนำแบบออกขายเพื่อให้ประชาชนนำไปดัดแปลงรถยนต์เก่าของตนเองให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้เลย อีกทั้งยังจะสร้างสถานีเติมไฟแบ็ตให้ทั่วประเทศอีกด้วย

https://m.youtube.com/watch?v=jddnd7G0pVI