วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2563

จัดการมะเร็ง

ภูมิคุ้มกัน สูงสุด : มะเร็ง 

มา เจียระไน เดชา ออยล์ กัญ ครับ เพื่อ สร้าง ภูมิคุ้มกัน สูง สุด ด้วยการ ตัด ลด ยก เพิ่ม พฤติกรรม จัดการ มะเร็ง ดร. วอ ต้อง ทำ 15 ข้อ นี้ นะ ครับ

1. นอน 🛏 ก่อน 4 ทุ่ม ยิ่งดี เพื่อ ให้ ระบบ ซ่อมแซม ฟื้นฟู เซลล์ ทำงาน เต็มที่ น้ำมันกัญชา จะ ยิ่ง ตอบสนอง ไว กว่า กับ การ นอน เร็ว กว่า ภูมิคุ้มกัน จะ สูง กว่า 
2. ก่อน มื้อเช้า ทาน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 1 ช้อนโต๊ะ ก่อน ออกกำลังกาย เช้า และ ใน มื้อ อาหาร อื่นๆ ทาน น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันงา น้ำมันปลา ประมาณ 1 ช้อนชา หรือ น้ำมันสมุนไพร อื่น น้ำมัน ต้อง เป็น แบบ สกัดเย็น จะ ดี ที่สุด หรือ ทาน พืช สด ที่ มี น้ำมัน ที่ ดี ประมาณ นี้ ทาน สลับ กัน ไป จะ ช่วย กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
3. ออกกำลังกาย เช้า เบาๆ ให้ ทำ เท่า ที่ ทำได้ (โดย มี มาตรฐาน 10,000 ก้าว/วัน หรือ 7 กม. /วัน หรือ มากกว่า ก็ได้) ตาม สภาพ ของ แต่ละคน ออกกำลังกาย เช้า ดีกว่า เย็น หรือ ตอนเย็น จะ ออกกำลังกาย เบาๆ อีก รอบ ก็ จะ ดีมาก จะ ช่วย ขับของเสีย และ กระตุ้น เซลล์ ของ อวัยวะ ที่ เกี่ยวข้อง กับ ระบบ ภูมิคุ้มกัน 
4. อาบ แดด อ่อน ก่อน 8.30 น. กระตุ้น ระบบของ ร่างกาย หลาย ระบบ รวมถึง การ สร้าง วิตามิน ฮอร์โมน และ สารชีวะ โมเลกุล อื่น ให้ พร้อม ต่อ การสร้าง ภูมิคุ้มกัน 
5. หายใจ ให้ ลึก และ กลั้นไว้ แล้ว ค่อยๆ ปล่อย ออก ทีละนิด ทำ ชุด ละ 5-10 ครั้ง ทำ บ่อยๆ เช้า เที่ยง เย็น หรือ มากกว่า (ก่อนนอน ห้าม ทำ จะ ทำให้ นอน หลับยาก) สามารถ เพิ่ม อ๊อกซิเจน ให้ เซลล์ ได้ อีก 3-5% ถือว่า เยอะ มาก เพื่อ เพิ่ม ประสิทธิภาพ ในการ สร้าง ภูมิคุ้มกัน 
6. มื้อเช้า ทาน กับข้าว น้ำ ผัก ผลไม้ สมุนไพร ปั่นรวม เพิ่ม สารอาหาร ที่ ดีที่สุด ให้ กับ เซลล์  (งดแป้งและน้ำตาล 100% ) น้ำ ปั่นรวม ต้อง ทาน ทั้ง 3 มื้อ ยิ่งดี มากๆ ครับ ส่ง ผล ดี ต่อ ระบบ ภูมิคุ้มกัน โดยตรง
7. มื้อเที่ยง ถ้า มีขนมหวาน ให้ ลด แป้งและน้ำตาล ให้ ทาน แป้ง ธรรมชาติ ที่ ไม่ดัดแปลง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด เผือก ฟักทอง แครอท เป็น ต้น เพื่อ ลดการ รบกวน การ ทำงาน ของ ภูมิคุ้มกัน และ ทาน น้ำปั่น รวม จะ ได้ วิตามิน แร่ธาตุ และ สาร ชีวะโมเลกุล อื่นๆ
8. มื้อเย็น ทาน ผัก ปลา หรือ โปรตีนอื่น (งดแป้งและน้ำตาล 100%) น้ำปั่นรวม ให้ อิ่ม วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน สารอาหารอื่นๆ และ วาง ซ้อนส้อม เวลา 15.00 น. จะได้ ไม่ รบกวน การหลับ มื้อ ที่ 3 ถ้า งด ได้ ยิ่ง ดี กว่า ครับ และ ทำให้ ระบบ ภูมิคุ้มกัน มี ประสิทธิผล (แป้ง และ น้ำตาล จะ ไป รบกวน ภูมิคุ้มกัน ตอนหลับ)
9. ทาน กล้วยน้ำว้า 3-4 ผล/วัน (หาง่าย ได้ ทุกฤดู) หรือ ผลไม้ ที่ มี เส้นใย แน่น ละเอียด เลี้ยงจุลินทรีย์ ในลำไส้ ช่วย สร้าง ภูมิคุ้มกัน
10. ทาน พืช พวก ตระกูล ขิง ข่า ขมิ้นชัน กระชาย และ สมุนไพร กลุ่ม อายุวัฒนะ ให้ มาก กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
11. ทาน พืชผักหลากสี ผลไม้ หลากหลาย และ มากๆๆๆ หรือ ทำ น้ำปั่นรวม ดื่ม 4 แก้ว/วัน กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
12. ดื่มน้ำ 1.5-3.0 ลิตร/วัน หาก มี ปัญหา การตื่น กลางคืน เข้าห้องน้ำ หลัง 17.00 น. ทาน ได้ ครึ่ง แก้ว สำหรับ ทาน น้ำมันกัญชา หรือ ยาหรือ วิตามิน น้ำ สำคัญ ต่อ เซลล์ ที่ เกี่ยวข้อง กับ การสร้าง ระบบ ภูมิคุ้มกัน 
13. ทาน เบต้ากลูแคน หลินจือ  เพิ่ม ประสิทธิภาพ เม็ด เลือด ขาว  เจอ ใน เห็ด หอม แครง หูหนูดำ หลินจือ ทาน มังคุดสกัด (BiM 100) เพิ่มประสิทธิภาพ อวัยวะ ไขกระดูก สร้าง เม็ด เลือด ขาว พวก นี้ ส่งผล ต่อ ภูมิคุ้มกัน โดยตรง (สมุนไพร อื่น จะ ดี ต่อ อวัยวะ แต่ละ อวัยวะ ใน ระดับ ปฏิบัติการ ระบบภูมิต้านทาน)
14. ทาน น้ำมันกัญชา ลง กระเพาะ ตาม โดส ของ ผู้ป่วย ก่อน นอน ทุกคืน เพื่อ กระตุ้น ให้ สมอง 🧠 สั่งการ ทุก อวัยวะ ที่ เกี่ยวข้อง กับ ระบบ กลไก ภูมิคุ้มกัน อย่าง มี ประสิทธิภาพ (นมกช. ระดับสมอง สั่งการสูงสุด) เป็น ตรงไหน ทา ตรงนั้น เพื่อ ชี้เป้าหมาย ให้ สมอง รับรู้ ครับ 
15. ฝึก คิดบวก ศึกษา ศาสนา ลด ความ เครียด ครับ ถ้า จิตวิญญาณ ดี จะ ส่ง ผล ต่อ ระบบ ภูมิคุ้มกัน ทั้งหมด ใน ทาง บวก ใน ทางกลับกัน ถ้า จิตวิญญาณ เป็น ลบ 14 ข้อ ข้าง ต้น จะ ลด ประสิทธิภาพ ทุก ข้อ ครับ 

สร้างภูมิร่างกาย

ภูมิคุ้มกัน สูงสุด : มะเร็ง 

มา เจียระไน เดชา ออยล์ กัญ ครับ เพื่อ สร้าง ภูมิคุ้มกัน สูง สุด ด้วยการ ตัด ลด ยก เพิ่ม พฤติกรรม จัดการ มะเร็ง ดร. วอ ต้อง ทำ 15 ข้อ นี้ นะ ครับ

1. นอน 🛏 ก่อน 4 ทุ่ม ยิ่งดี เพื่อ ให้ ระบบ ซ่อมแซม ฟื้นฟู เซลล์ ทำงาน เต็มที่ น้ำมันกัญชา จะ ยิ่ง ตอบสนอง ไว กว่า กับ การ นอน เร็ว กว่า ภูมิคุ้มกัน จะ สูง กว่า 
2. ก่อน มื้อเช้า ทาน น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น 1 ช้อนโต๊ะ ก่อน ออกกำลังกาย เช้า และ ใน มื้อ อาหาร อื่นๆ ทาน น้ำมันงาขี้ม่อน น้ำมันงา น้ำมันปลา ประมาณ 1 ช้อนชา หรือ น้ำมันสมุนไพร อื่น น้ำมัน ต้อง เป็น แบบ สกัดเย็น จะ ดี ที่สุด หรือ ทาน พืช สด ที่ มี น้ำมัน ที่ ดี ประมาณ นี้ ทาน สลับ กัน ไป จะ ช่วย กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
3. ออกกำลังกาย เช้า เบาๆ ให้ ทำ เท่า ที่ ทำได้ (โดย มี มาตรฐาน 10,000 ก้าว/วัน หรือ 7 กม. /วัน หรือ มากกว่า ก็ได้) ตาม สภาพ ของ แต่ละคน ออกกำลังกาย เช้า ดีกว่า เย็น หรือ ตอนเย็น จะ ออกกำลังกาย เบาๆ อีก รอบ ก็ จะ ดีมาก จะ ช่วย ขับของเสีย และ กระตุ้น เซลล์ ของ อวัยวะ ที่ เกี่ยวข้อง กับ ระบบ ภูมิคุ้มกัน 
4. อาบ แดด อ่อน ก่อน 8.30 น. กระตุ้น ระบบของ ร่างกาย หลาย ระบบ รวมถึง การ สร้าง วิตามิน ฮอร์โมน และ สารชีวะ โมเลกุล อื่น ให้ พร้อม ต่อ การสร้าง ภูมิคุ้มกัน 
5. หายใจ ให้ ลึก และ กลั้นไว้ แล้ว ค่อยๆ ปล่อย ออก ทีละนิด ทำ ชุด ละ 5-10 ครั้ง ทำ บ่อยๆ เช้า เที่ยง เย็น หรือ มากกว่า (ก่อนนอน ห้าม ทำ จะ ทำให้ นอน หลับยาก) สามารถ เพิ่ม อ๊อกซิเจน ให้ เซลล์ ได้ อีก 3-5% ถือว่า เยอะ มาก เพื่อ เพิ่ม ประสิทธิภาพ ในการ สร้าง ภูมิคุ้มกัน 
6. มื้อเช้า ทาน กับข้าว น้ำ ผัก ผลไม้ สมุนไพร ปั่นรวม เพิ่ม สารอาหาร ที่ ดีที่สุด ให้ กับ เซลล์  (งดแป้งและน้ำตาล 100% ) น้ำ ปั่นรวม ต้อง ทาน ทั้ง 3 มื้อ ยิ่งดี มากๆ ครับ ส่ง ผล ดี ต่อ ระบบ ภูมิคุ้มกัน โดยตรง
7. มื้อเที่ยง ถ้า มีขนมหวาน ให้ ลด แป้งและน้ำตาล ให้ ทาน แป้ง ธรรมชาติ ที่ ไม่ดัดแปลง เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด เผือก ฟักทอง แครอท เป็น ต้น เพื่อ ลดการ รบกวน การ ทำงาน ของ ภูมิคุ้มกัน และ ทาน น้ำปั่น รวม จะ ได้ วิตามิน แร่ธาตุ และ สาร ชีวะโมเลกุล อื่นๆ
8. มื้อเย็น ทาน ผัก ปลา หรือ โปรตีนอื่น (งดแป้งและน้ำตาล 100%) น้ำปั่นรวม ให้ อิ่ม วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน สารอาหารอื่นๆ และ วาง ซ้อนส้อม เวลา 15.00 น. จะได้ ไม่ รบกวน การหลับ มื้อ ที่ 3 ถ้า งด ได้ ยิ่ง ดี กว่า ครับ และ ทำให้ ระบบ ภูมิคุ้มกัน มี ประสิทธิผล (แป้ง และ น้ำตาล จะ ไป รบกวน ภูมิคุ้มกัน ตอนหลับ)
9. ทาน กล้วยน้ำว้า 3-4 ผล/วัน (หาง่าย ได้ ทุกฤดู) หรือ ผลไม้ ที่ มี เส้นใย แน่น ละเอียด เลี้ยงจุลินทรีย์ ในลำไส้ ช่วย สร้าง ภูมิคุ้มกัน
10. ทาน พืช พวก ตระกูล ขิง ข่า ขมิ้นชัน กระชาย และ สมุนไพร กลุ่ม อายุวัฒนะ ให้ มาก กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
11. ทาน พืชผักหลากสี ผลไม้ หลากหลาย และ มากๆๆๆ หรือ ทำ น้ำปั่นรวม ดื่ม 4 แก้ว/วัน กระตุ้น ภูมิคุ้มกัน
12. ดื่มน้ำ 1.5-3.0 ลิตร/วัน หาก มี ปัญหา การตื่น กลางคืน เข้าห้องน้ำ หลัง 17.00 น. ทาน ได้ ครึ่ง แก้ว สำหรับ ทาน น้ำมันกัญชา หรือ ยาหรือ วิตามิน น้ำ สำคัญ ต่อ เซลล์ ที่ เกี่ยวข้อง กับ การสร้าง ระบบ ภูมิคุ้มกัน 
13. ทาน เบต้ากลูแคน หลินจือ  เพิ่ม ประสิทธิภาพ เม็ด เลือด ขาว  เจอ ใน เห็ด หอม แครง หูหนูดำ หลินจือ ทาน มังคุดสกัด (BiM 100) เพิ่มประสิทธิภาพ อวัยวะ ไขกระดูก สร้าง เม็ด เลือด ขาว พวก นี้ ส่งผล ต่อ ภูมิคุ้มกัน โดยตรง (สมุนไพร อื่น จะ ดี ต่อ อวัยวะ แต่ละ อวัยวะ ใน ระดับ ปฏิบัติการ ระบบภูมิต้านทาน)
14. ทาน น้ำมันกัญชา ลง กระเพาะ ตาม โดส ของ ผู้ป่วย ก่อน นอน ทุกคืน เพื่อ กระตุ้น ให้ สมอง 🧠 สั่งการ ทุก อวัยวะ ที่ เกี่ยวข้อง กับ ระบบ กลไก ภูมิคุ้มกัน อย่าง มี ประสิทธิภาพ (นมกช. ระดับสมอง สั่งการสูงสุด) เป็น ตรงไหน ทา ตรงนั้น เพื่อ ชี้เป้าหมาย ให้ สมอง รับรู้ ครับ 
15. ฝึก คิดบวก ศึกษา ศาสนา ลด ความ เครียด ครับ ถ้า จิตวิญญาณ ดี จะ ส่ง ผล ต่อ ระบบ ภูมิคุ้มกัน ทั้งหมด ใน ทาง บวก ใน ทางกลับกัน ถ้า จิตวิญญาณ เป็น ลบ 14 ข้อ ข้าง ต้น จะ ลด ประสิทธิภาพ ทุก ข้อ ครับ 

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ร่างกายเป็นด่างด้วยมะนาวน้ำร้อน

มีข่าวดีและพิเศษมาก...เหยื่อโควิด19ของเวียดนามไม่มีผู้เสียชีวิต...  ข่าวใหญ่สุดยอด...ได้รับข้อมูลยาโควิด19จากประเทศเวียดนามเรียบร้อยแล้ว...ไวรัสโควิด19จะไม่สามารถทำให้เราตายได้...รับรองว่าเป็นความจริง, วิธีการง่ายมาก, แต่ผลลัพธ์ดีมาก..แค่นำชาร้อน1กา มะนาว2ลูก ผสมกันแล้วดื่ม...สามารถฆ่าไวรัสโควิด19ได้ทันที...รวมถึงสามารถกำจัดไวรัสจากภายในร่างกายได้...ส่วนกระกอบทั้ง2อย่างนี้ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเปลี่ยนสภาวะเป็นด่าง...เพราะว่าเมื่อถึงกลางคืน, ระบบในร่างกายจะเปลี่ยนสภาวะเป็นกรด...ภูมิคุ้มกันลดลง...นี่คือสาเหตุที่ทำไมคนเวียดนามรอดจากการระบาดของไวรัสโควิด19มาได้. ที่เวียดนาม, ตอนเย็นทุกๆคนมักจะดื่มน้ำร้อน1แก้วผสมกับน้ำมะนาวเล็กน้อย..เพราะได้รับการยืนยันแล้วว่าจะสามารถฆ่าไวรัสโควิด19ได้...ทำให้ทุกคนแชร์ความลับนี้, น่ายกย่องชื่นชมมาก...ส่วนประกอบทั้ง2อย่างนี้ง่าย แต่ได้ผลดี, เพราะทำให้ไม่เป็นโควิด19, ขอให้ทำพระคุ้มครอง...ขอให้ทุกคนโชคดี

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ขาแข็งแรง อะไรๆก็ดี

นิตยสาร "Prevention" ของสหรัฐอเมริกา บอกถึง ผลงานวิจัยที่พบว่า "กล้ามเนื้อและกระดูกขาที่แข็งแรง" ถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของผู้ที่ มีอายุยืนยาว

โดยผลงานวิจัย พบว่า ในช่วงสองสัปดาห์ ผู้ที่ไม่มีการเคลื่อนไหว ความแข็งแรงของกล้ามเน้ือขา จะลดลงไปถึง หนึ่งในสาม  การฟื้นตัวจะใช้เวลานานมากกว่า   ดังนั้น  การใช้ขาออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นเรื่องที่ จำเป็นต้องทำ

  คนที่มีกล้ามเนื้อขาและกระดูกที่แข็งแรง  มักจะมีหัวใจที่แข็งแกร่งเสมอ

  ความชราเริ่มจากเท้า  เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ความแม่นยำ และ ความเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างขา และสมองจะลดลง ซึ่งแตกต่างจากตอนที่ยังเด็ก
ท่าเดินของผู้สูงอายุ  จึงต่างกับเด็ก

   นอกจากนี้ แคลเซียมที่เรียกว่า "ใส่ปุ๋ย" ในกระดูก จะสูญเสียไปเร็ว ถ้าไม่เดินให้มาก จะทำให้ผู้สูงอายุ มีแนวโน้มที่จะกระดูกหักได้ง่าย

   กระดูกหักในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะ โรคร้ายแรง เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ โดย  15 % ของผู้สูงอายุ อาจเสียชีวิต!! ภายในหนึ่งปี หลังจากมี กระดูกหัก จากการล้ม

   ดังนั้น แม้จะเป็นผู้สูงอายุ แล้ว มาออกกำลังขา ในวันนี้ ก็ยังไม่สายเกินไป

การออกกำลังขาง่ายๆ ก็คือ การเดิน  เป็นงานที่ต้องทำตลอดชีวิต  การทำให้ขาแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ที่จะทำให้เรามีอายุขัย ที่ยืนยาว และ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เช่น ชาวญี่ปุ่น  ชีวิตประจำวัน จะมีการเดินมากกว่าชาติอื่นๆ  ปัจจุบันมีผู้อายุเกิน 100 ปี มากกว่า 80,000 คน!!
    ส่วนชาวฮันฃา นั้น มีอายุยืนที่สุดในโลก แต่ละคน อายุ เฉลี่ย 120 ปี นอกจากกินมังสวิรัติ แล้ว วิถีชีวิตของพวกเขา ก็คือ การเดินขึ้นลงเขาทุกวันนั่นเอง

https://youtu.be/R6DCSFxvWzM

วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ปลดล็อคกัญชา

ประกาศ!! มีผล 15 ธ.ค.63 ปลดล็อก "กัญชา" หลายส่วนไม่ถือเป็นยาเสพติดแล้ว

โดย PPTV Online

เผยแพร่ 

ปรับปรุงล่าสุด 

ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เรื่องเงินกับผู้หญิง

'กฏบางอย่างของเงินที่เราควรรู้'

1. 'เงินจะชอบวิ่งเข้าไปหาคนที่เล่นตัวกับมัน' เล่นตัวไง ทำเป็นไม่สนใจไง ...มีเชิงหน่อย !! ..ยิ่งเล่นตัว เรายิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดเงิน

2. 'เงินจะวิ่งเข้ามา ในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องใช้' ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งใช้ ถ้าใช้เพราะแค่อยากใช้ มีเท่าไหร่ก็หมดตูดครับ

3. 'เงินไม่ชอบเป็นนายใคร แต่เงินเป็นลูกน้องที่ดี' ..ใครใช้เงินทำงานเป็น เงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปอาศัยใบบุญของผู้นั้น

4. 'เงินรวมตัวกันเมื่อไหร่ หายนะเกิด' ..คนฉลาดจะแบ่งเงินให้ทำงานหลายๆที่ ไม่ให้มันมารวมตัวกัน ..เอ๊ง!! ไปทำงานตรงนุ๊น ส่วนก้อนนี้มาทำงานตรงนี้

5. 'เงินที่วางไกลตัว มักทำงานหนักที่สุด' ..ถ้าเราหลงๆ ลืมๆ วางเงินให้มันทำงานในสินทรัพย์เช่น ที่ดิน หรือ หุ้น ..ยิ่งวางลืมๆ มันยิ่งทำงานหนัก โตเร็วอย่างน่าตกใจ

ทำได้ 5 ข้อนี้ ก็รวยแล้วล่ะ ..555

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2563

คติดีๆ

5 ข้อพ่อสอนให้จำ ...ถ้าทำแล้วจะดี จัดไป !!

1. 'ดีคือเสีย เสียคือดี' ถ้าไม่ขยายความเป็นเรื่องแน่ เพราะไม่รู้เรื่อง ...แต่พ่อสอนผมว่า อะไรที่มันดีอยู่แล้วไม่ต้องไปยุ่ง เพราะนั่นคือกับดัก ...โอกาสที่จะทำสิ่งนั้นแล้วแย่มันมีสูง (คนเขาทำดีอยู่แล้ว ถ้าเราพลาดนิดเดียว ซวยหนักแน่นอน)  ..แต่ถ้าอะไรมีวิกฤต หรือ ย่ำแย่ ให้เลือกทำงานนั้นเพราะมันคืองานแห่งโอกาส ..ของแย่ อย่างห่วยก็แย่เหมือนเดิม แต่ถ้าเราพลิกฟื้นมันได้ เราจะได้เป็นฮีไร่ !!

2. 'งานที่ทำไม่เสร็จ ถึงจะดีแค่ไหนก็ไม่มีคุณค่า' อันนี้สอนเด็กเรียนอย่างผม ที่ชอบความสมบูรณ์แบบว่า บางครั้งงานที่เสร็จ มันดีกว่างานสมบูรณ์แบบที่ทำไม่เคยเสร็จ ...ทำอะไรให้มันได้ผลงาน สร้างผลงาน แม้ไม่ได้ดีทุกชิ้น แต่เราก็โชว์ความมุ่งมั่นตั้งใจให้โลกรับรู้ 

3. 'ทุกอย่างสุดท้ายเปลี่ยนเป็นขยะ ส่วนอะไรที่ไม่ใช่ เก็บสะสมสิ่งนั้นไว้ เราจะเป็นคนรวย' ...อันนี้สอนเรื่องการจ่ายเงินให้รวยขึ้น อย่าซื้อขยะ ให้ซื้อ Asset 

4. 'คนที่ทำงานง่าย ไม่ใช่คนยิ่งใหญ่' ..งานยาก งานที่ลำบาก ไม่มีใครทำมาก่อน ไม่มีคนอยากทำ นี่คือ งานของคนยิ่งใหญ่ 

5. 'อย่าให้เพื่อนยืมเงิน เพราะนั่นคือการทำลายมิตรภาพอย่างแท้จริง' ...พ่อสอนว่า วิธีทำให้เพื่อนสนิทเลิกคบเราง่ายที่สุด ก็คือ ให้เขายืมเงิน ...ถ้าอยากช่วยจริงๆ 'ให้ไปเลย อย่าให้ยืม'

ความเด็ดของพ่อผม คือ ไม่ใช่แค่พูดสอน แต่ปฏิบัติตัวเองเป็นแบบอย่าง ..นั่นคือ การสอนที่ดีที่สุด 'เป็นต้นแบบ'

จัดไปครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563

การปลูกพืชแบบ แอร์โร่โพนิคน์

แอโรโพนิกส์ Aeroponics คล้ายกับไฮโดรโปนิกส์ Hydroponics ซึ่งเป็นการปลูกผักไร้ดิน แต่ไม่ได้เหมือนกันทีเดียว และหลายคนชอบเหมาว่าแอโรโพนิกส์ คือผักไร้ดินแบบไฮโดรโพนิกส์ จริงๆ ก็ไม่ถูกซะทีเดียว

และวันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่า การปลูกผักในระบบแบบ แอโรโพนิกส์ มีวิธีการปลูกและการดูแลอย่างไร รวมไปถึงเราสามารถสร้างรายได้จากการปลูกผักด้วยระบบนี้ อย่างไร…

ผักแอโรโพนิกส์ Aeroponics วิธีปลูก ดูแล และสร้างรายได้
ผักแอโรโพนิกส์ Aeroponics วิธีปลูก ดูแล และสร้างรายได้

แอโรโพนิกส์ Aeroponics คืออะไร

แอโรโพนิกส์ คือระบบการปลูกผักชนิดหนึ่งที่เป็นการปลูกแบบผักไร้ดิน คำว่า แอโรโพนิกส์ มาจากภาษาละติน “แอโร” หมายถึงอากาศ ส่วนคำว่า “โพนิกส์” หมายถึงการเพาะปลูก

สรุปแล้ว “แอโรโพนิกส์” จึงหมายถึง การปลูกพืชผักแบบให้รากลอยอยู่ในอากาศ โดยที่จะมีภาชนะยึดต้นพืช ให้ส่วนรากแขวนลอยในอากาศ เนื่องจากการปลูกพืชในระบบนี้ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีการศึกษาวิจัยและการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีรูปแบบและระบบการทำงานที่ทันสมัยและใช้งานได้ง่ายขึ้นอยู่เสมอ จึงเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรและรองรับเกษตรกรรมสมัยใหม่ในปัจจุบัน ลดพื้นที่ปลูกให้แคบลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น

ส่วน การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแบบไฮโดรโปนิกส์ หรือ Hydroponics เป็นการปลูกพืชที่ไม่ใช้วัสดุปลูก (nonsubstrate หรือ water cuture) คือจะทำการปลูกพืชลงบนสารละลายธาตุอาหารพืช โดยให้รากพืชสัมผัสกับสารอาหารโดยตรง (Water culture) นั่นเอง

คำว่า Hydroponics มาจากการรวมคำในภาษากรีกสองคำ คือ คำว่า “Hydro” หมายถึง “น้ำ” และ “Ponos” หมายถึง “งาน”

ซึ่งเมื่อรวมคำสองคำเข้าด้วยกัน ความหมายก็คือ “Water-working” หรือหมายถึง “การทำงานของน้ำที่มีสารละลายธาตุอาหารผ่านรากพืช

การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน จากคำว่า ไฮโดรโปนิกส์ หรือ Hydroponics

การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแบบไฮโดรโปนิกส์ หรือ Hydroponics

การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน จากคำว่า ไฮโดรโปนิกส์ หรือ Hydroponics
การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน จากคำว่า ไฮโดรโปนิกส์ หรือ Hydroponics

ผู้ที่จะทำการปลูกตามลักษณะของการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน Hydroponics นี้จะต้องควบคุมอุณหภูมิ รวมไปถึงธาตุอาหารของสารละลายให้พืชอย่างเหมาะสม เพื่อกำหนดการเจริญเติบโตของพืชให้ดีและมีคุณภาพ

การทำงานของระบบแอโรโพนิกส์ ต่างจากไฮโดรโพนิกส์อย่างไร

  • การปลูกในระบบแอโรโพนิกส์ เป็นระบบที่มีการหมุนเวียนน้ำและสารละลายธาตุอาหาร โดยการใช้ปั๊มอัดผ่านหัวพ่น ฉีดพ่นน้ำและสารละลายธาตุอาหารให้เป็นฝอยละเอียดเป็นระยะ ๆ บริเวณรากพืชตามระยะเวลาที่กำหนดตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Timer เป็นตัวกำหนดระยะเวลาและจำนวนครั้งที่พ่นตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด
  • การปลูกในระบบไฮโดรโพนิกส์ จะเป็นการปล่อยสารละลายแร่ธาตุในรูปแบบน้ำ ให้ไหลวนลงในราง อย่างต่อเนื่องด้วยปั๊มน้ำ

แม้ว่าการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินแบบที่เรียกว่า Hydroponics จะเป็นการปลูกพืชในสารละลายธาตุอาหารพืช และไม่ได้ใช้ดินจริงๆ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นคิดและพัฒนาขึ้นมาก็ตาม แต่พืชก็ยังต้องใช้วัสดุเพื่อการเจริญเติบโตได้ในรูปแบบของวัสดุปลูกอื่นๆ เช่น ทราย กรวด หินเกล็ด ด้วยการให้น้ำที่ผสมธาตุอาหารที่ค้นคิดขึ้นมาหล่อเลี้ยงราก จึงเรียกการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินนี้เป็นคำรวมว่า Soilless culture (อ่านว่า ซอยเลส คัลเจอร์)

ผักแอโรโพนิกส์ Aeroponics วิธีปลูก ดูแล และสร้างรายได้

ผักไร้ดิน คล้ายคลึง แต่แตกต่าง

ข้อสังเกตุคือ เป็นระบบปลูกที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ระบบไฮโดรโปนิกส์ จะเป็นการให้รากพืชสัมผัสกับสารละลายโดยตรง รากจะถูกแช่อยู่ในสารละลายอยู่ตลอดเวลา แต่ระบบ Aeroponics แอโรโพนิกส์ จะเป็นการปลูกโดยให้รากของพืชลอยสัมผัสกับอากาศ แต่จะฉีดพ้นสารอาหารให้ทางรากเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการแห้งของรากและให้รากสามารถดูดสารอาหารได้ (คล้ายๆ กับการปลูกกล้วยไม้บางจำพวกที่รากสามารถรับสารอาหารได้จากทางอากาศ เช่น หนวดฤาษี ม่านบาหลี ฯลฯ)

ประโยชน์ของการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน

การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินเป็นวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และศิลปะผสมกันที่สามารถใช้ปลูกพืชได้ในทุกสถานที่โดยไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกจำนวนน้อยเพื่อบริโภคในครัวเรือนหรือการผลิตเชิงธุรกิจ เป็นวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการสำหรับผู้ปลูกที่มีพื้นที่ปลูกน้อย เช่น แฟลต อพาร์ตเม้นท์ จึงสามารถปลูกได้ในเมืองหลวงของเมืองที่แออัดคับแคบด้วยผู้คน เช่น ประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เบลเยี่ยม

สำหรับการปลูกแบบขนาดเล็ก หรือเพื่อปลูกไว้ดูเล่นแบบสันทนาการ และมีอาหารจากการปลูกเพื่อบริโภคในครอบครัวอาจเป็นการลงทุนค่อนข้างสูง แต่ก็สามารถลดพื้นที่การปลูกลงได้มาก ไม่มีความยุ่งยากในการปลูก และการดูแลรักษา ผักที่ปลูกสามารถใช้ร่วมกับกลุ่มของผักสลัด หรือผักไร้ดินชนิดต่างๆ ได้เหมือนกันทั้งสองระบบ

ผักแอโรโพนิกส์ Aeroponics วิธีปลูก ดูแล และสร้างรายได้

การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินกับการผลิตเชิงธุรกิจ วิธีการปลูกพืชโดยไม่ใช้ดินสามารถใช้ปลูกพืชได้หลายชนิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของการปลูกพืชแต่ละชนิด ตั้งแต่ผัก ผลไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ พืชไม้เลื้อย จนถึงพืชยืนต้น แต่การผลิตเชิงธุรกิจส่วนมากนิยมปลูกพวกพืชผัก ไม้ผลที่เป็นพืชที่เก็บเกี่ยวช่วงอายุสั้น

ตัวอย่างผักที่ปลูกในระบบแอโรโพนิกส์ คือ ผัดกาดขาวไดโตเกียว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักโขมขาว ต้นหอม

กรด-ด่าง ในกระแสเลือด

ค่าพีเอช (pH)​คือความเป็นกรดด่างที่มีอยู่ในกระแสเลือด
ค่าพีเอชของไวรัสโคโรนามีค่า 5.5 ถึง 8.5
สิ่งที่เราต้องทำเพื่อเอาชนะไวรัสโคโรนาต้องกินอาหารที่มีค่าพีเอช มากกว่า พีเอช ในไวรัสโคโรนา

ส่วนอาหารที่มีค่าพีเอช สูงกว่าโคโรนาไวรัสที่น่าสนใจคือ:
  * มะนาว - 9.9pH **
  * อะโวคาโด - 15.6pH *
  * กระเทียม - 13.2pH *
  * มะม่วง - 8.7pH *
  * Tangerine(ส้มเขียวหวาน)​- 8.5pH *
  * สับปะรด - 12.7pH *
  * Dandelion(ดอกแดนดิไลออน)​ - 22.7pH *
  * ส้ม - 9.2pH *
ดังนั้นถ้ากินอาหารเหล่านี้จะทำให้เราเอาชนะไวรัสโคโรนาได้

 คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณมี coronavirus(ไวรัสโคโรนา)​
 1. * มีอาการคันที่คอ *
 2. * คอแห้ง *
 3. * อาการไอแห้ง *
 4. อุณหภูมิสูง​
 5. หายใจถี่

 ดังนั้นถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ต้องรีบใช้น้ำอุ่นกับมะนาวและดื่ม

 อย่าเก็บข้อมูลนี้ไว้กับตัวคุณเองเท่านั้น  ส่งต่อให้ทุกคนในครอบครัวและเพื่อนของคุณ คนที่คุณรัก😘

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

คุยกับสมาชิกเกาะน้ำค้าว 1

 สวัสดีครับ สมาชิกห้องและ สมาชิกโครงการเกาะน้ำค้าง ทุกๆท่านครับ ผมกลับไปกรุงเทพหลายวัน ก่อนกลับไปก็พยายามจัดการเองเรื่องหารายชื่อ สมาชิกที่อยู่ในโครงการ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ขอความช่วยเหลือจาก กรรมการดูแลโครงการ (กรรมการตามกฎหมายบังคับ) หลายๆท่านที่ได้ีโอกาสได้คุย แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป ส่วนตัวผมเองก็ไม่อยากอยู่ในโครงการที่มีสภาพเหมือน บ้านป่าแบบนี้ไปนาน เกรงว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นในโครงการนี้เข้าสักวัน กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผมจึงต้องเดินเรื่องด้วยตัวเองกับคุณฝน ก็....ซับซ้อนยุ่งยากพอสมควร 
     แต่อาจประกอบกับความโชคดีที่เข้าไปขอความช่วยเหลือในจังหวะเวลาที่พอดีมีโชค ท่านเจ้าพนักงานที่ดินที่ท่านมาทำการแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ ท่านให้ความเมตตา ให้ทำเรื่องคำขอ สุดท้ายก็สามารถหามาได้ทั้งหมดจนได้ โดยใช้เวลาไปเสียอยู่ที่กรมที่ดินอยู่ 4 วันกับคุณฝน ต่อจากนั้นก็รีบไปทำงานที่ภาคเหนือและกรุงเทพอีกหลายวัน พอกลับมาเห็นโครงการ ในนาทีแรกที่มาถึงหน้าโครงการ ก็ต้องคิดว่า เราอยู่ในป่าหรือเปล่า? เห็นหญ้าขึ้นรุกลามมาบนฟุตบาท นี่ถ้าถนนไม่เป็นคอนกรีตอยู่มันคงลามเต็มถนนจนรถวิ่งไม่ได้แล้ว จากชื่อโครงการที่สวยน่าเอาไปคุยให้เพื่อนๆฟัง โครงการที่เคยเป็นพระเอกในจันทบุรี ใหญ่โต แข็งแรง มาตรฐาน ลูกค้าไฮโซทั้งนั้น(ก่อนเข้ามาซื้อ  ซึ่งผมได้ยินคนจันท์เขาว่ากันแบบนั้นจริงๆ ฟังแล้วหลงไหลเลย..) แต่...สภาพตอนนี้เหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อนเลย..
    เราอยู่สภาพแบบไม่มีคนรับผิดชอบดูแล มานาน ทั้งๆที่ตามกฎหมายแล้วมีผู้ต้องดูแลให้มันคงสภาพเดิมตามที่ขออนุญาตจัดสรรอยู่ แต่เขาอาจไม่รู้ก็ได้ เลยปล่อยให้พวกเราอยู่ในสภาพแบบนี้มานาน  
    ในความคิดผม พื้นที่ส่วนกลางของโครงการที่เราอยู่เนียะ มันมีทางที่จะเป็นไปได้อยู่เพียง 3 ประการเท่านั้นคือ..
  1.พวกเราเลือกตั้ง คณะชุดดูแล บริหาร พท.ส่วนกลาง ของพวกเราเองขึ้นมาแทน ชุดที่รับผิดชอบอยู่ปัจจุบัน
 2. ยก พท.ส่วนกลางให้หลวงไป และ..
 3. ย้ายหนีไปซะที่อื่น
  จาก 3 ข้อนี้ ความเป็นได้มากที่สุดและควรต้องเป็นคือ ข้อ.1 ส่วนอีก 2 ข้อ ยากมากที่จะเกิดขึ้น (เหตุผลว่าทำไมมันยากที่จะเป็น คงต้องคุยเป็นรายละเอียดเวลาที่ได้ประชุมคุยกัน) 
   ดังที่กล่าวไว้ข้างบนว่า เรามีความจำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายการบริหารมาเป็นของพวกเราเอง (กรรมการชุดปัจจุบัน ส่วนมากไม่ได้อาศัยอยู่ในโครงการ จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากสถาพในโครงการ) และควรจะเป็นการเร่งด่วน เพราะนานวันไป ในสภาพเงินส่วนกลางที่จะใช้ว่าจ้างคนดูแลไม่มีแบบนี้ นับวันสภาพโครงการจะยิ่งย่ำแย่ เสียหาย และอันตรายมากขึ้น 
 และการที่จะดำเนินการจากสภาพโครงการที่เป็นลบโดยสถาพในปัจจุบัน และเป็นศูนย์ แบบนี้ ถ้าจะเดินทางไปถึง สภาพโครงการที่สวยงาม ไฟสว่าง ปลอดภัย และน่าอยู่อาศัยอย่างมีความสุข ก็ต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องใหญ่และยาวนานหลายขั้นตอน เกินกว่าความสามารถของคนเพียงไม่กี่คนจะ ดำเนินการได้ จึงเป็นความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องอาศัย พลังสามัคคีของพวกเราที่จะช่วยร่วมมือร่วมใจกัน ขบวนการนี้แทบไม่ต้องใช้เงินเลยหรือใช้ก็น้อยมาก จนอาจไม่ต้องรบกวนสมาชิกเลยก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องการใากที่สุดคือ ความเห็นที่ตรงกัน ลู่ทางที่จะช่วยกันคิดหาวิธี เดินทางไปให้ถึงจุดนั้น ซึ่งถ้าทุกๆท่านที่อาศัยอยู่ในโครงการอยู่ในขณะนี้(ซึ่งมีปริมาณไม่ถึงครึ่งของสมาชิกทั้งหมด) มาร่วมช่วยกันรับฟัง รายละเอียด , ช่องทางดำเนินการ , จนสุดท้ายมีความเห็นไปทางเดียวกันได้ สุดท้ายของโครงการนี้ที่ควรจะเป็นมานานแล้วคงมีโอกาสได้เป็นจริง 
  จึงใคร่ขอความกรุณา รบกวนเวลาอันมีค่าของสมาชิกทุกท่าน ช่วยสละเวลากันอีกสักครั้ง มาคุยสรุปกันอีกครั้งก่อนที่ผมจะร่างจดหมายถึง ผู้ถือกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเพื่อขอมติ จัดตั้งนิติบุคลบริหารโครงการต่อไป
    สุดท้ายนี้ ผมขอโอกาสนี้ ขอขอบคุณน้อง...เจ้าของร้านอาหารปาทู ที่ช่วยให้ใช้สถานที่นั่งคุยกัน เพราะพวกเราไม่มีที่จะไปนั่งกัน (สโมสรก็ปิดตาย รอวันผุพังไปวันๆ) ถ้าจะมีโอกาสอีกก็อนุอนุเคราะห์แค่น้ำเปล่าคนละแก้วก็เป็นพระคุณแล้ว กับสถานที่ให้เราได้มีที่นั่งคุยกัน 
  จะมีใครมีความกรุณาเป็นคนช่วยนัดให้หน่อยได้ไหมครับ คนที่รู้จัก ท่านสมาชิกในโครงการมากที่สุดน่าจะเป็นผู้ประสานงานการนัดได้ดีที่สุดครับ
       ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
                   pjmong



   สวัสดีครับ สมาชิกโครงการเกาะน้ำค้างทุกๆท่าน ผมกลับไปกรุงเทพฯหลายวัน ก่อนกลับไปก็พยายามจัดการเรื่องหารายชื่อสมาชิกที่ถือกรรมสิทธิ์บนที่ดินที่อยู่ในโครงการฯ  ซึ่งก่อนหน้านั้นก็ได้ขอความร่วมมือไปยังกรรมการผู้ดูแลรับผิดชอบโครงการ (กรรมการตามที่กฎหมายบังคับ) หลาย ๆ ท่านได้มีโอกาสมาพูดคุยพร้อมกัน แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไปไม่ได้รับการติดต่อจากกรรมการที่รับปากอีก ส่วนตัวผมเองไม่อยากอยู่ในโครงการที่สภาพเหมือนป่ารกแบบนี้นานนัก  เกรงว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นในโครงการนี้เข้าสักวัน ยิ่งเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่ ผมและคุณฝนจึงต้องเดินเรื่องด้วยตัวเอง โดยมีพวกเราที่อยู่อาศัยในนี้ให้ความร่วมมือสนับสนุนเป็นอย่างดี ซึ่งขั้นตอนการติดต่อทำงานมีความซับซ้อนยุ่งยากพอสมควร แต่อาจเป็นความโชคดี ที่เข้าไปปรึกษาในจังหวะเวลาที่เหมาะสม ท่านเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งเข้ามาทำการแทนตำแหน่งที่ว่างชั่วคราว จึงเมตตาให้ทำเรื่องยื่นคำขอและสามารถหารายชื่อมาได้ทั้งหมด โดยใช้เวลาที่ สนง.ที่ดินจังหวัดอยู่ 4 วัน  ต่อจากนั้นก็รีบไปทำงานที่กรุงเทพฯ และภาคเหนืออีกหลายวัน พอกลับมาเห็นโครงการในนาทีแรกที่ถึงหน้าโครงการก็ต้องคิดว่า " นี่บ้านพวกเราอยู่ในป่ากันหรือเปล่า? "  เห็นหญ้าขึ้นรกลามมาบนฟุตบาทจนไม่เห็นทางเดิน ถ้าถนนไม่ได้เป็นคอนกรีต ต้นหญ้าคงลามเต็มถนน จนรถวิ่งไม่ได้แล้ว จากชื่อโครงการที่สวยจนน่าเอาไปคุยให้เพื่อน ๆ ฟัง โครงการที่เคยใหญ่โตแข็งแรง เป็นมาตรฐาน เป็นชื่อเสียงของจันทบุรีในตอนนั้น แต่สภาพตอนนี้ เหมือนโครงการร้าง ผมตัดสินใจมาซื้อที่ดินในโครงการนี้ก็เพราะ ได้ยินได้ฟังมามากเรื่องความสวยงาม ความมาตรฐานในเชิงวิศวกรรม , layout (ผังโครงการ)ที่สวยงามในทางสถาปัตยกรรม ,และความแข็งแรงและความได้มาตรฐานของโครงการ ขนาดชื่อของโครงการยังเพราะเลย...!!
    เราอยู่สภาพแบบไม่มีคนรับผิดชอบดูแลมานาน ทั้ง ๆที่ตามกฎหมายแล้ว ต้องมีผู้ดูแลให้โครงการคงสภาพเดิม ตามที่ขออนุญาตจัดสรรไว้ แต่ผู้ต้องรับผิดชอบอาจไม่รู้ตัวเอง ว่ามีกฎหมายกำหนดไว้ จึงปล่อยให้พวกเราอยู่ในสภาพตามมีตามเกิดมาแบบนี้ และคิดดูว่า ความรกชัฏของต้นไม้ที่ไม่ต้องการและวัชพืช มันไม่หยุด ยิ่งนานๆไปยิ่งอัตรายขึ้นทุกๆวัน 
     ในความคิดส่วนตัวและตามประสบการณ์ของผม พื้นที่ส่วนกลางมีโอกาสเป็นไปได้เพียง 3 ประการเท่านั้นคือ..  :-
1. พวกเราเลือกตั้งคณะทำงานเพื่อบริหารพื้นที่ส่วนกลาง ขึ้นมาทำหน้าที่แทนชุดที่รับผิดชอบอยู่ในปัจจุบัน
2. ยกพื้นที่ส่วนกลางให้หลวงไป (สาธารณะประโยชน์)
3. ย้ายหนีไปที่อื่น

   จาก 3 ข้อนี้ ข้อที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือข้อ 1  และ 99% ของโครงการในประเทศไทยก็เลือกวิธีนี้ เพราะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับโครงการใหญ่ขนาดนี้    ส่วนขอ 2 และ 3 ข้อยากมาก ๆที่จะเกิดขึ้น (เรื่องรายละเอียดเราจะได้คุยกันในการประชุมครั้งต่อไป) โดยเฉพาะ การยกให้เป็นสาธารณะประโยชน์ จะมีเรื่องเลวร้ายตามมาอีกมากมายถ้าเลือกข้อนี้ ซึ่งผมได้ไปถ่ายรูปมาให้เห็นสภาพโครงการที่ยกพื้นที่ส่วนกลางให้เป็นสาธารณะประโยชน์ที่กรุงเทพ มาให้ดูด้วย เมื่อตอนกลับไปครั้งนี้ ส่วนอีก 1% ที่ว่ายกส่วนกลางให้เป็นสาธารณะประโยชน์นั้น ทั้งหมดใน 1% นี้ เป็นโครงการขนาดเล็กที่มีบ้านไม่เกิน30-40 หลังคาเรือน กรณีย์ที่ 2 นี้ ยากมากที่จะเกิด และถ้าเกิดขึ้นแล้วยิ่งเลวร้ายกว่า
      ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าพวกเรามีความจำเป็น ต้องเปลี่ยนถ่ายการบริหารพื้นที่ส่วนกลาง ของโครงการเกาะน้ำค้างมาดูแลกันเองเพราะคณะทำงานที่ต้องรับผิดชอบในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ไม่ได้อาศัยอยู่ในโครงการ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพที่เป็นอยู่ของโครงการ และพวกราควรจะดำเนินการโดยเร่งด่วน เพราะยิ่งนานวัน โครงการที่ไม่ได้รับการดูแลจะยิ่งทรุดโทรม เสียหายและอันตรายมากขึ้น และการทิ้งร้างไว้นานๆ สภาพที่ทรุดโทรมไปยิ่งบำรุงซ่อมแซมยากและใช้ทุนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ 
      การที่จะปรับปรุงจากโครงการที่มีสภาพเป็นลบอยู่ในขณะนี้ ไปสู่โครงการที่สวยงามน่าอยู่อาศัย  มีความปลอดภัย ไฟฟ้าสว่างและถนนหนทางสะอาดสอ้านได้ ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาอีกยาวนานหลายขั้นตอน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยพลังความสามัคคีของพวกเรา ที่อาศัยอยู่ในโครงการเกาะน้ำค้างปัจจุบัน ร่วมแรงร่วมใจกันคิดหาวิธีการที่จะไปถึงจุดนั้นให้ได้ หากทุกๆท่านมาร่วมฟังรายละเอียด ช่วยกันแนวทางการดำเนินการ และช่วยกันแสดงความคิดเห็น (brainstrom) ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงเป็นแนวทางเดียวกัน สุดท้ายโครงการน่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ในเร็ววัน

   จึงใคร่ขอความกรุณา รบกวนเวลาอันมีค่าของสมาชิกทุกท่าน ช่วยสละเวลากันอีกสักครั้งมาคุยสรุปกันก่อนที่ผมจะร่างจดหมายถึงผู้ถือกรรมสิทธิ์ทั้งหมดเพื่อ เชิญประชุมจัดตั้งนิติบุคคลบริหารโครงการต่อไป

    สุดท้ายผมขอโอกาสนี้ขอบคุณน้อง "อุ๊ก" เจ้าของร้านอาหารปลาทู 
ที่อนุเคราะห์ให้ใช้สถานที่นั่งคุยกัน อีกทั้งยังเลี้ยงขนมและเครื่องดื่มทุกครั้ง
ขอความกรุณาท่านใดที่รู้จักสมาชิกที่อยู่อาศัยในปัจจุบันมากที่สุด ช่วยประสานการนัดหมายครั้งนี้ให้ด้วยครับ (คนที่รู้จักท่านสมาชิกในโครงการมากที่สุดน่าจะเป็นผู้ประสานการนัดได้ดีที่สุด)และดีที่สุดคือทุกคนช่วยกันชวนกันมาเยอะ ๆ นะครับ

       ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
                   pjmong
  

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

ชั่วคราว

(please)(three)(please)ที่สุดคำสอนของพระพุทธเจ้าก็คือความจริงที่ (please)กรรมมุนาวัตตรีโลโกกุ๊กุ๊(please)(..)ที่ผลกรรมที่อเมริกาได้สร้างและสั่งสมสร้างความเดือดร้อนไปเกือบทั่วโลก ให้ประเทศเล็กน้อยใหญ่ทั่วโลกด้วยนโยบาย(please)(A)(M)(E)(R)(I)(C)(A)(three) (F)(I)(R)(S)(T)ด้วยนโยบายทำลายล้างทุกประเทศที่ขัดขวางเป็นปฎิปักษ์ขัดผลประโยชน์ประเทศ อเมริกา จนผลกรรมที่ได้สร้างไว้ คนต้องตายไปก็เยอะ บ้านเมืองถูกถล่อฉิบหายไปก็ไม่รู้เท่าไหร่ เมื่อกรรมมันเดินมาเรื่อยๆตั้งแต่เจอพายุหนักๆเกือบทุกปี คนตายไปก็ทุกปี การก่อจราจลก็มีให้เห็นในประเทศตัวเองต้องรับมือ และสุดท้ายเชื้อโรคร้ายกำลังคร่าชีวิตคนอเริกันร่วม2แสนกว่าแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่เป็นสุดยอดเทคโนฯกลับมาตายเพราะสิ่งที่มองไม่เห็นแพ้ประเทศอย่างไทยๆ...ถามว่าทำไมคนอเริกาต้องรับกรรมแทนรัฐฯด้วย คำตอบ..ก็ไม่คัดค้านในสิ่งที่รัฐฯของตัวเองไปเที่ยวสร้างไว้โดยไม่ใส่ใจไงละ นั่นแหล่ะคือผลแห่งกรรมที่ได้ร่วมรู้เห็นหรือเฉยเมยและปล่อยวาง เพราะดูดทรัพย์พยากรของเขาไป และให้เอาภาษีรัฐฯส่งอาวุธไปทำลายล้างประเทศต่างๆ ยังไม่ใช่แค่นี้ครับ สิ่งที่ทั้ประเทศและประชาชน อเมริกันยังจะต้องรับอีกจนสุดท้ายก็คือตกลงมาเป็นประเทศที่ล้า...หลังอย่างตัวอย่างนี้ เมืองใหญ่ๆรวมทั้ง LA เอาไม้ปิดหน้าร้านกันหมดแล้วครับ เศร้า เห็นแล้วนึกถึงชื่อวรรณคดีเรื่องหนึ่ง และมันคงไม่ใช่ประชาธิปไตยอันสวยงามแน่แน่พี่น้องคนไทยเอ๋ยตาสว่างเสียทีเราเมืองพุทธ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ต่างได้ร่วมสร้างสมบุญบารมีให้ทั้งลููกหลานและคนไทยทั้งประเทศได้อยู่ดีพอมีพอกิน ยิ่งหากเดินตามนโยบายของพ่อหลวง ร.๙ อย่างพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อก็อยู่ได้สบายๆ สตางค์ก็จะอยู่ในกระเป๋าเราไม่ใช่ย้ายไปกระเป๋าเศรษฐีอย่างทุกวันนี้..คนไทยไม่จนนะ รวยน้ำใจเห็นมั้ยว่าแค่หลวงพ่อบ่นหน้อยใจว่าไม่มีกฐินเข้าเลย แผล๊บเดียวมาเลย20กว่าล้าน ลุงแทกซี่ลำบากขับรถทั้งถุงน้ำเกลือเงินไหลไม่กี่วันจนเกือบ10ล้าน ลุงแกก็ดีนะบอกว่าพอแล้ว และอีกหลายๆพลังแห่งเมตตาในคนไทยที่มีล้นเหลือ ขอเพียงสอนสั่งลูกหลานรุ่นต่อๆไปให้ได้รับรู้วัฒณธรรมอันดีงามของคนรุ่นเก่าก่อน เพื่อส่งรุ่นต่อรุ่น# ช่วยกันแชร์หน่อยครับ ไม่ได้ต้องการค่าไร้ทอะไรทั้งสิน และไม่กลัวด้วยว่าจะถูกขึ้นบัฐชีดำไม่ให้เข้าประเทศอเมริกา บ้านเราน่าอยู่กว่าเยอะ กับประชาธิปไตรอย่างไทยๆ จริยะธรรม วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมีมากมายจนล้นเหลือ จะไปทำไมประเทศเหยียดผิวที่ปากบอก ประชาธิปไตย.#.รักประเทศไทยเถอะพี่น้องคนไทยไม่รักกันแล้วจะไปรักใครได้

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2563

  สวัสดีตอนเช้า วันอังคารครับ บ้านเมืองเราตอนนี้ มีกระแสร้อนๆหลายเรื่อง เช่น  โควิท กับม็อบเด็ก เป็นธรรมดาที่ห้องไลน์กลุ่มทุกกลุ่มในบ้านเมืองเรา จะมีบทความเกี่ยวกับเรื่องร้อนๆ ลงกันมาหนาตามากกว่าปรกติ ซึ่งส่วนตัวผมว่าเป็นเรื่องดี เพราะนั่นแสดงว่า  พวกเรายังไม่ทิ้ง เรื่องราวที่เป็นส่วนรวม ยังมีใจมีห่วงอยู่กับ ชาติ บ้านเมืองเป็นส่วนรวม มีบทความเหล่านี้บ้านในไลน์กลุ่มไหน ยังดีกว่า ไลน์กลุ่มที่ไม่มีอะไรเลยไหม? ที่มีแต่ สวัสดีตอนเช้า ไปเที่ยวไหนกันมา? ร้องเพลง เต้นรำ กิจกรรม..ฯลฯ  ไลน์กลุ่มที่มีค่าควรจะมีคนหลากหลายความรู้ หลากหลายประสบการณ์ แล้วเอาความรู้ เอาประสบการณ์ ที่แต่ละคนมีมาบอก มาเล่า มาแนะนำ เอามาจากที่อื่นบ้างมาให้รู้กัน ให้ประโยชน์คนอื่นก่อนจะตายจากไป.. ไลน์กลุ่มไหนมีสมาชิกแบบนี้มาก จะยิ่งเป็นไลน์กลุ่มที่มีค่า ควรจะเก็บไว้ แม้จะเปลือง memory ก็ตาม
   ทีนี้ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของผู้เสพข้อมูล ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย ในการอ่านให้จบ วิเคราะห์ให้ดี อดใจให้ได้ก่อนจะวิจารณ์โดยเฉพาะแอดมินของกลุ่ม คงจะต้องไวกว่าคนอื่น พร้อมที่จะกระโดดลงตรงกลาง ระหว่างความขัดแย้งใดๆ  หน้าที่นี้แหละที่หลายคนอยากเปิดกลุ่มไลน์ของตัวเอง แต่กลัวจะทำหน้าที่นี้ไม่ไหว เลยขอเป็นสมาชิกห้องอื่นดีกว่า
   โอกาสนี้ ผมขออนุญาต แสดงความเห็นส่วนตัวนิดนึงนะครับ 
   ผมแยกแยะเรื่อง ส่วนรวมที่เกิดขึ้น ในบ้านเมืองเรา ออกเป็น 4 ประเภท ตั้งศัพท์เอง เอาไว้ใช้แยกแยะ เพราะไม่มีใครแยกไว้ให้ พอไม่มีใครแยก ทุกเรื่องที่ลงโพสทุกเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนรวมเลยถูกตีความว่าเป็นการเมืองหมด เรื่องที่ควรแก่การบอกกล่าวให้รู้กันเลยต้องถูกเก็บไว้คนเดียว..
 1.เรื่องส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ และส่วนรวม เช่น นโยบายต่างประเทศ ที่สมาคม หรือประเทศอื่น ที่มีต่อไทย เช่นนโยบายการค้า การเมืองระหว่าประเทศ เศรษฐกิจ  หรือ เรื่องไวรัสโควิท..ฯลฯ  แบบนี้ผมเรียกว่าเรื่อง..""ส่วนรวมของชาติ.." ที่ทุกคนควรรู้ อันนี้ "ลงโพสได้ "
  2. เรื่องที่ คนในชาติ มีความเห็นแตกต่างกันตั้งแต่  2 กลุ่มขึ้นไป เช่น เรื่องสีแดง สีเหลือง สีฟ้า สีขาว ฯลฯ หรือ ม็อบนี่แหละ มีทั้งสนับสนุน และ ไม่เห็นด้วย  แบบนี้เป็นเรื่องระหว่าง กลุ่มประชาชน กับ กลุ่มประชาชน แบบนี้เรียกว่า.."เรื่องการเมือง."" อันนี้ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะลงโพส
   3.เรื่องเกี่ยวกับ ปัญาส่วนรวม ที่หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบต่อปัญหานั้น เช่น ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ สาธารณะประโยชน์ที่ ผุพังสร้างปัญหาให้ ประชาชน จึงเป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานของรัฐ กับ กลุ่มประชาชน ผมเรียกว่า ..""เรื่องการบ้าน.."" อันนี้ลงได้ ควรจะลงด้วย 
  4. เรื่องส่วนตัว ระหว่าง ประชาชน บุคลกับบุคล เช่น กรณีทะเลาะกันเรื่องจอดรถขวางหน้าบ้าน เป็น .""เรื่องส่วนตัว""ครับ อันนี้เรื่องของชาวบ้าน ไม่น่าเอามาลง แต่ถ้าลงเป็นอุทาหรณ์ เพราะเป็นข่าว ก็ไม่ว่ากัน
        ข้อ 2 กับข้อ 3 ""การเมือง"กับ""การบ้าน"" เป็นตัวสร้างปัญหามากที่สุดในกลุ่มไลน์ ยากต่อการแยกแยะ ต้องอ่านให้ดี พิจารณา ให้มากหน่อย ตรงนี้แหละที่จะพิสูจน์ วิจารณญาณ ว่าคนอ่านมีกึ๋นแค่ไหน ?
 ขอยกตัวที่มักจะสับสนกันระหว่า 2 ข้อนี้..
 เช่น.. รัฐบาลมีนโยบาย จะรื้อตำหนักเก่า เพื่อบูรณะ สร้างใหม่ขึ้นมาแทน แต่มี ปชช.ท้องที่กลุ่มหนึ่งออกเดินขบวนต่อต้าน เพราะเกรงว่าศิลปดั้งเดิมจะสูญหายไป ตอนนี้เป็นเรื่องระหว่างหน่วยงานของรัฐ กับ กลุ่ม ปชช. (ประชาชน) กลุ่มหนึ่ง ถ้าเราจะลงโพสสนับสนุน ปชช.กลุ่มนี้ก็น่าจะทำได้ เพราะ น่าจะมองว่าเป็นเรื่อง การบ้าน แต่ในเรื่องเดียวกัน เกิดมี ปชช.อีกกลุ่มมาสนับสนุนให้รื้อ ตามนโยบายรัฐ เรื่องนี้กลายเป็นการเมืองที่ไม่ควรลงสนับสนุนฝ่ายใดแล้ว เพราะ กลายเป็นความขัดแย้งของกลุ่ม ปชช.อย่างน้อย 2กลุ่ม กลายเป็นหัวข้อ ..""..เรื่องของการเมือง.."" ไปแล้ว
  ส่วนตัวแล้ว พึงระลึกไว้เสมอว่า ตราบใดที่ห้องไลน์ห้องไหน มีคนสนใจหาโพสมาลง แสดงว่าสมาชิกคนนั้นเขาสนใจให้ความหมายว่ากลุ่มนั้นยังมีค่าแก่เขา เคยถามตัวเองไหมว่า เหตุที่เราไม่ไปคุย ไปลงโพส ห้องไหนหรือบางทีเราลาออกไปเลย เป็นเพราะ เราคิดว่าไลน์กลุ่มนั้นไม่มีค่าสำหรับเราที่จะเป็นสมาชิกให้เปลือง หน่วยความจำของเราอีกต่อไป...
   ในไลน์กลุ่ม ..กลุ่มที่มีค่า คือกลุ่มที่มีสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถ ทั้งหน้าที่การงาน ในสังคม ดีๆอยู่กันมาก แต่ข้อเสียที่จะตามมา คือ ที่ไหนมีคนเก่งมาก ก็ต้องเจอความเชื่อมั่นตัวเองของสมาชิกแต่ละคน ความขัดแย้งย่อมเกิดบ่อย แอดมินกลุ่มนั้นก็ต้องแข็งแรงมากพอตามไปด้วย ต้องฝึกความคิด ฝึกใช้คำพูดประนีประนอม หรือจะเลือกเป็นกลุ่มไลน์ที่ไม่มีอยู่ข้างใน สมาชิกลงโพสกันแต่เรื่อง..ที่เป็นอะไรที่..ไปวันๆ..

   หวังว่าไม่ได้เป็นบทความทางการเมืองนะครับ เพราะไม่ได้เชียร์ฝ่ายไหนว่าถูกผิด แต่ห่วงเยาวชนไทย ห่วงอนาคตของประเทศเราเป็นส่วนรวม 
      บทความนี้ผมเขียนขึ้นเอง จากความคิดของตัวเอง ..ไม่กล่าวว่าใคร เพียงอยากให้คนที่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรียกตัวเองว่าปัญญาชนแล้ว ค่อยๆลองคิดดู 
   ความหมายของนักเรียนกับนิสิต นักศึกษา...:
   นักเรียน หมายถึง ผู้เรียนในโรงเรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
  นิสิต และ นักศึกษา หมายถึง ผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา (นิสิตเป็นคำที่ใช้เฉพาะในสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งเท่านั้น)
  ถ้าคิดง่ายๆหน่อยก็น่าจะเป็นว่า นักเรียนคือวัยเรียนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ถ้าทำผิดก็ขึ้นศาลเยาวชน หรือไม่ก็สถานดัดสันดาน ส่วนนักศึกษาเป็นผู้เรียนที่มีความคิด ผิดชอบชั่วดีแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว.. 
   เรื่องนี้ผมทำงานไปก็คิดไป..ทำไมประเทศไทยถึงโชคร้ายขนาดนี้ ? เด็กนักเรียนวัยที่ยังใส่กระโปรง ผูกหูกระต่าย ใส่กางเกงขาสั้น วิชาแคลคูรัส ก็ยังไม่รู้จักกันเลย แต่ออกมาเดินขบวนเรียกร้อง เรื่องการเมืองที่ ผู้ใหญ่ระดับประเทศคุยกันไม่เข้าใจ ตัดสินใจอะไรกันไม่ได้.. !!!
  เรื่องนี้มันบ่งบอกอะไร? มีนัยสำคัญแค่ไหน? ในสายตาชาวบ้านอย่างผม ??..
  ความจริงวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆและลามไป ตจว. หลายโรงเรียนใน ตจว.ต้องปิด เด็กนักเรียนหลายคนไม่ยอมเข้าเรียน เพียงเพื่อไปจะร่วมเข้าม็อบ ...
  1. ถ้าเด็กเหล่านี้ถูกครอบงำมา จากผู้ใหญ่ทั้งคนไทยด้วยกันเองหรือพวกฝรั่งตาน้ำข้าว คนเบื้อหลังเหล่านี้ก็ถือว่ามีความคิดเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ที่เอาความต้องการของตัวเอง ยัดใส่สมองที่บริสุทธ์ของเยาวชนไทยมาทำลายพ่อแม่ ลุง ป้า น้า อา ของพวกเขาเอง กะให้ทำลายไปถึงระดับสูงๆ ระดับที่เกินกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆจะบังอาจเอื้อมไปถึงเสียอีก  พวกเบื้องหลังเหล่านี้ มันรู้ว่า เด็กทำผิด ถือว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าเป็นคดีก็ยังให้แค่เข้าดัดสันดาน  อย่าลืมนะว่า เด็กวัยนี้ ทำความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม ก็ยังได้รับพิจารณาโทษบนตรรกะที่ว่า ""รู้เท่าไม่ถึงการณ์"" หรือ ."".คะนองไปตามวัย..""  มันใช้พลังบริสุทธิ์เหล่านี้ทำลายบ้านเมือง ทำลายลุงป้าน้าอาพวกเขาเอง อาศัยความจริงที่ว่า เด็กๆเหล่านี้ทำเลวแค่ไหน พ่อแม่ ผู้ใหญ่ก็ต้องอภัย แต่รู้ไหม? นอกจากผลร้ายที่เด็กๆทำแล้ว ยังมีความคิดใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ที่ฝั่งไว้ในสมองเด็ก ตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้
  ที่ฮ่องกง วัยปัญญาชน ก่อม็อบกันจนป่นปี้ มาดูเมืองไทยกับเลวร้ายกว่าอีก ที่ใช้วัยเด็กอายุน้อยลงไปอีก มาก่อม็อบเดินขบวน ..คนที่คิดทำแบบนี้ มันช่าง.....!!!..จริงๆ..!!.
  หรือ 2. ถ้าเด็กๆเหล่านี้บางคน ออกมาเรียกร้องด้วยความคิดจริงๆของเขาเองละ..? มันหมายถึงอะไร? ประเทศเราเกิดอะไรขึ้น..?? ที่ผู้ใหญ่วัยบริหารประเทศ คุยกันไม่ได้ ตัดสินกันไม่ลงตัว ต้องให้เด็กวัยที่ ยังต้องแบมือขอตังค์แม่ใช้ ควรเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน ต้องออกมาเรียกร้องอะไรกันเองแบบนี้  พวกผู้ใหญ่ทั้งหลายควรก้มมองตัวเองได้หรือยัง..??  หรือยังดื้อแพ่ง คิดว่าตัวเองถูกเสมอด้านเดียวอยู่?  
  ส่วนตัวผมไม่อาจฟันธงได้ว่า อะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ แบบไหนถูกหรือผิด.?? ฝ่ายไหนควรอยู่หรือไป .?? ไม่อยากยุ่งเรื่องการเมืองที่ซับซ้อนจนตามไม่ทัน ...  แต่ที่แน่ๆ มิติใหม่ทางการเมืองได้เกิดขึ้นเป็นแห่งแรกในโลกคือ ที่ประเทศไทย ที่เด็กๆวัยเรียนหนังสือ วัยที่ขบวนการคิดยังไม่เป็นหลักเป็นการ วัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อาสาสมัครออกมาเดินเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งหน้าที่นี้มันน่าจะเป็นวัยผู้ใหญ่เขาทำกันเหมือนนาๆประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ
  ปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เถอะครับ ช่วยๆกันหาวิธีให้เด็กๆกลับไปอยู่ในโรงเรียน อยู่ในโอวาทของพ่อแม่เป็นอย่างที่มันเคยเป็น
  ก็...ไม่อยากให้ผู้ใหญ่ หลายๆคนฝังหัวตัวเองว่า เด็กมันผิด..!! มันไร้สาระ..!! การกระทำพวกมันหาสาระไม่ได้..!! อย่าไปสนใจ..!! ไร้สาระ..!! ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ไอ้ความไม่มีสาระ ไร้ความคิดนี่แหละ ถ้ามันเกิดอารมณ์เอาชนะ ควบคุมตัวเองไม่ได้ตามวัยคนองของพวกเขา แถมไปอยู่รวมกัน เจอทั้งแรงยุ แรงกระตุ้น ฯลฯ เกิดทำอะไรบ้าๆประชดผู้ใหญ่ กันขึ้นมา มันจะกลายเป็นข่าวใหญ่ที่เลวร้ายไปไกลเลยละครับ...ผมว่าบรรยากาศตอนนี้ ทุกฝ่ายคงต้อง ใช้วิธีที่ละเอียดรอบมากๆหน่อยเลยละ จะตอบ จะแก้ จะให้สัมภาษณ์อะไรก็ควรต้องระวังความคิด ระวังคำพูด ระวังแม้กระทั่งสีหน้าท่าทาง ระวังอารมณ์กันมากหน่อย  ไม่อยากให้มีเรื่องที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้...!!.pjmong..

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ประโยชน์กัญชง

กัญชง

กัญชง ชื่อสามัญ Hemp (เฮมพ์)[2]

กัญชง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cannabis sativa L. subsp. Sativa จัดอยู่ในวงศ์กัญชา (CANNABACEAE)[1]

ลักษณะของกัญชง

  • ต้นกัญชง จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุเพียงปีเดียว ลำต้นเป็นสีเขียวตั้งตรง มีความสูงได้ประมาณ 1-6 เมตร มีลักษณะอวบน้ำเมื่อเป็นต้นกล้า และจะเริ่มมีการสร้างเนื้อไม้เมื่ออายุได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ การเจริญเติบโตของต้นจะช้าในช่วง 6 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นจะเพิ่มความสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีความสูงโดยเฉลี่ยประมาณ 3 เมตร มีรากเป็นระบบรากแก้วและมีรากแขนงเป็นจำนวนมาก การปลูกต้นกัญชงจะปลูกด้วยการใช้เมล็ด ซึ่งใช้เวลางอกประมาณ 8-14 วัน และสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อต้นอายุ 3-4 เดือน กัญชงเป็นพืชที่มีแหล่งกำเนิดในเอเชียกลางและแพร่กระจายไปสู่เอเชียตะวันออก อินเดีย และในทวีปยุโรป[1],[5]

ต้นกัญชง

เฮพม์

  • ใบกัญชง ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปฝ่ามือ แผ่นใบแก่แยกเป็นแฉกประมาณ 7-9 แฉก การเรียงตัวของใบค่อนข้างห่าง ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยและเว้าลึกจนถึงโคนใบ ปลายใบสอบและเรียวแหลม ก้านใบยาวประมาณ 2-7 เซนติเมตร เมื่อมีการสร้างดอกจำนวนแฉกของใบจะลดลงตามลำดับ[5]

ใบกัญชง

  • ดอกกัญชง ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกมีขนาดเล็กสีขาว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-4 มิลลิเมตร ดอกเป็นแบบแยกเพศและอยู่ต่างต้นกัน (บางชนิดอยู่ต้นเดียวกัน แต่ที่พบปลูกในบ้านเราคือชนิดที่อยู่ต่างต้นกัน) โดยช่อดอกเพศผู้จะเป็นแบบ panicle ประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยง 5 กลีบ แยกจากกันเป็นอิสระ มีสีเขียวอมเหลือง มีเกสรเพศผู้ 5 อัน มีระยะเวลาการบานประมาณ 2 เดือน (ภาพบน) ส่วนดอกเพศเมียจะเกิดตามซอกใบและปลายยอด ในบริเวณช่อดอกจะอัดกันแน่น ช่อดอกจะเป็นแบบ spike ประกอบไปด้วยกลีบเลี้ยงสีเขียวเข้มหุ้มรังไข่ไว้ ภายใน stigma 2 อัน สีน้ำตาลแดง อายุของดอกค่อนข้างสั้นประมาณ 3-4 สัปดาห์ก็จะติดผล (ภาพล่าง)[5]

ดอกกัญชงเพศผู้

ดอกกัญชงเพศเมีย

  • ผลกัญชง ผลเป็นเมล็ดแห้งสีเทา ลักษณะเป็นรูปไข่ ผิวเรียบเป็นมันและมีลายประสีน้ำตาล เมื่อแห้งจะเป็นสีเทา มีขนาดกว้างเฉลี่ยประมาณ 4.47 มิลลิเมตร ยาวประมาณ 5.11 มิลลิเมตร และมีความหนาเฉลี่ยประมาณ 3.75 มิลลิเมตร ภายในเมล็ดมีอาหารสะสมจำพวกแป้งและไขมันอัดกันแน่น โดยมีน้ำมันถึง 29-34%, มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ประกอบไปด้วย linoleic acid 54-60%, linolenic acid 15-20%, oleic acid 11-13%[5]

เมล็ดกัญชง

กัญชง กับ กัญชา

มีหลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่า ต้นกัญชงก็คือกัญชา แต่แท้จริงแล้วต้นกัญชงแค่มีลักษณะคล้ายคลึงกับต้นกัญชาในด้านลักษณะทางพฤกษศาสตร์เท่านั้น ไม่ใช่พืชที่เป็นสารเสพติดเหมือนกัญชา เพียงแต่ต้นกัญชงเป็นพืชที่นิยมนำมาแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการถักทอ[1]

กัญชงและกัญชา

โดยต้นกัญชง (Hemp ชื่อวิทยาศาสตร์ Cannnabis sativa L. Subsp. sativa) จะมีลำต้นสูงมากกว่า 2 เมตร ปล้องหรือข้อยาว แตกกิ่งก้านน้อยและแตกกิ่งไปในทิศทางเดียวกัน เปลือกเหนียวลอกง่าย ให้เส้นใยยาวคุณภาพสูง แผ่นใบเป็นสีเขียวอมเหลือง ใบมีแฉกประมาณ 7-9 แฉก การเรียงตัวของใบค่อนข้างห่าง เมื่อออกดอกจะมียางที่ช่อดอกไม่มาก เมล็ดมีขนาดใหญ่และเป็นลายบ้าง ผิวเมล็ดหยาบด้าน ใบเมื่อนำมาสูบจะมีกลิ่นหอมน้อย ทำให้ผู้เสพปวดหัว มีสาร tetrahydrocannabinol (THC) น้อยกว่า 0.3% การปลูกระยะห่างระหว่างต้นจะแคบ เพราะปลูกเพื่อต้องการเส้นใยเพียงอย่างเดียว[1],[5]

ในขณะที่ต้นกัญชา (Marijuana ชื่อวิทยาศาสตร์ Cannabis sativa L. Subsp. indica (Lam.) E. Small & Cronquist) จะมีความสูงไม่ถึง 2 เมตร ปล้องหรือข้อสั้น แตกกิ่งก้านมากและแตกกิ่งเป็นแบบสลับ เปลือกไม่เหนียว ลอกได้ยาก ให้เส้นใยสั้นมีคุณภาพต่ำ แผ่นใบเป็นสีเขียวถึงเขียวจัด ใบมีประมาณ 5-7 แฉก การเรียงตัวของใบจะชิดกัน เมื่อออกดอกจะมียางที่ช่อดอกมาก เมล็ดมีขนาดเล็ก ผิวเมล็ดมันวาว ใบเมื่อนำมาสูบจะมีกลิ่นหอมคล้ายหญ้าแห้ง มีสาร (tetrahydrocannabinol (THC) ประมาณ 1-10% การปลูกระยะห่างระหว่างต้นจะกว้าง เพราะปลูกเพื่อต้องการใบ[1],[5]

สรรพคุณของกัญชง

  1. ใบมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงโลหิต (ใบ)[5]
  2. ช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น ช่วยให้นอนหลับสบาย ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะหรือไมเกรน และช่วยแก้กระหาย (ใบ)[5]
  3. ใช้รักษาโรคท้องร่วง โรคบิด (ใบ)[5]
  4. ภูมิปัญญาของชาวม้งจะใช้เมล็ดสดเป็นยาสลายนิ่ว โดยนำมาเคี้ยวสด ๆ (เมล็ด)[1]
  5. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด คลายกล้ามเนื้อ รักษาโรคเกาต์ (ใบ)[5]


ประโยชน์ของกัญชง

  1. เปลือกจากลำต้นให้เส้นใยเพื่อนำไปใช้ทำเป็นเส้นด้ายและเชือก ใช้สำหรับการทอผ้า ทำเครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ[1] นอกจากนี้ยังใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ และใช้เป็นรองเท้าของคนตายเพื่อเดินทางไปสู่สวรรค์ ใช้ทำเป็นด้ายสายสิญจน์ในพิธีกรรมต่าง ๆ และใช้ในพิธีอัวเน้งหรือพิธีเข้าทรง ซึ่งเป็นงานประเพณีสำคัญของชาวม้ง เส้นใยจากต้นกัญชงนั้นมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของคนม้ง[4]
  2. เนื้อของลำต้นที่ลอกเปลือกออกแล้วสามารถนำมาผลิตเป็นกระดาษได้[1]
  3. แกนของต้นกัญชงจะมีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น น้ำ หรือน้ำมันได้ดี ในต่างประเทศนิยมนำไปผลิตเป็นพลังงานชีวมวลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถ่านไม้, Alcohol, Ethanol, Methanol นอกจากนี้ แกนกัญชงยังถูกนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งอาคารและเฟอร์นิเจอร์อีกด้วย[5]
  4. เมล็ดใช้เป็นอาหารของคนและนก เมล็ดกัญชงที่เก็บได้สามารถนำมาสกัดเอาน้ำมันมาใช้ในการปรุงอาหารได้ ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่า ในน้ำมันจากเมล็ดนั้นมีโอเมก้า3 สูงมาก นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 6, โอเมก้า 9, linoleic acid, alpha- และ gamma-linolenic acid และสารในกลุ่มวิตามิน เช่น วิตามินอี ซึ่งเมื่อบริโภคแล้วจะมีประโยชน์ต่อการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และช่วยลดการเกิดโรคมะเร็งในร่างกายได้อีกด้วย[1],[2]
  5. น้ำมันจากเมล็ดสามารถไปผลิตเป็นน้ำมันซักแห้ง ทำสบู่ เครื่องสำอาง ครีมกันแดด แชมพู สบู่ โลชั่นบำรุงผิว ลิปสติก ลิปบาล์ม แผ่นมาส์กหน้า หรือแม้กระทั่งเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และถูกพัฒนาเป็นตำรับครีมน้ำมันกัญชงที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยบำรุงผิวแห้งเพื่อรักษาโรคผิวแห้งคันและสะเก็ดเงินที่ได้ผลเป็นอย่างดี[2],[5]
  6. เมล็ดนอกจากจะให้น้ำมันแล้ว ยังพบว่ามีโปรตีนสูงมากอีกด้วย โดยสามารถนำมาใช้ในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น เนย ชีส เต้าหู้ โปรตีนเกษตร นม ไอศกรีม น้ำมันสลัด อาหารว่าง อาหารเสริม ฯลฯ หรือผลิตเป็นแป้งทดแทนถั่วเหลืองได้เป็นอย่างดี ซึ่งในอนาคตอาจใช้เป็นทางเลือกในการบริโภคแทนถั่วเหลืองซึ่งเป็นพืช GMOs ก็เป็นได้[1],[5]
  7. ในส่วนของใบก็สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ตั้งแต่เป็นอาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอาง รวมไปถึงการนำใบมาเป็นชาเพื่อสุขภาพ, นำมาเป็นผงผสมกับสารอาหารอื่น ๆ เพื่อผลิตเป็นอาหารเสริม, ผลิตเป็นอาหารโดยตรงอย่างเส้นพาสต้า คุกกี้ หรือขนมปัง, ใช้ทำเบียร์, ไวน์, ซ้อสจิ้มอาหาร ฯลฯ[3],[5] และยังใช้ประโยชน์โดยนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ที่มีคุณสมบัติช่วยดูแลผิวพรรณ ทำให้ผิวชุ่มชื้น เหมาะกับผิวแพ้ง่าย ผิวบอบบาง[5]
  8. ในประเทศญี่ปุ่นมีการปลูกต้นกัญชงเพื่อกำจัดกัมมันตภาพรังสีให้สลายตัวที่จังหวัด Fugushima และสารกัมมันตภาพรังสีรั่วจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียที่ระเบิดจากสึนามิ ซึมลงดินจนไม่สามารถทำการเกษตรได้[3]
  9. กัญชงจัดเป็นเส้นใยมงคลที่ชาวญี่ปุ่นนิยมนำมาตัดกิโมโน เพราะเป็นผ้าที่มีความทนทานนับร้อยปี[3                                          ประโยชน์ของเส้นใยกัญชงกัญชงให้ผลผลิตมากกว่าปลูกฝ้าย มีคุณภาพมากกว่า และใช้แรงงานในการปลูกน้อยกว่า เพราะไม่ต้องพรวนดินหรือให้ปุ๋ย ไม่ต้องใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม การเก็บต้นกัญชงมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเส้นใยนั้นจะเก็บในระยะที่ต้นเจริญเติบโตเต็มที่แต่ยังไม่ออกดอก แปลงส่วนที่เหลือจะปล่อยไว้ให้ออกดอกและเมล็ดเพื่อใช้ในการทำพันธุ์ต่อไป และเนื่องจากเป็นพืชอายุสั้น จึงสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี โดยปลูกทีละน้อยเพื่อเก็บรวบรวมไว้ทำเส้นใยทอเป็นผ้า และกว่าจะนำเส้นใยมาทอได้นั้นก็ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การตัดต้นกัญชงมาตากแห้ง แล้วนำมาลอกเปลือกออกจากต้นช่วงที่มีอากาศชื้นหรือหน้าฝน เพราะจะช่วยทำให้การลอกเปลือกเป็นไปอย่างมีคุณภาพไม่ขาดตอน จากนั้นก็นำมาต่อให้ยาวแล้วปั่นและม้วนให้เป็นเส้นก่อนนำไปต้มในน้ำเดือดที่ผสมกับขี้เถ้า เพื่อช่วยให้เส้นใยนุ่มและเหนียว จากนั้นก็นำไปซักในน้ำเปล่า ก็จะได้เส้นด้ายที่มีความเหนียวทนทาน[1                                                          
  10. ต้นกัญชง          เส้นใยกัญชงนั้นจัดว่าเป็นเส้นใยที่มีคุณภาพสูงมาก เพราะมีคุณสมบัติที่แข็งแรงกว่าผ้าฝ้าย สามารถดูดซับความชื้นได้ดีกว่าไนลอน และให้ความอบอุ่นยิ่งกว่าลินิน จึงเหมาะนำมาใช้ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อสวมในช่วงอากาศร้อนจะให้ความเย็นสบาย ถ้าสวมใส่ในหน้าหนาวจะให้ความอบอุ่น เพราะช่วยดูดความร้อน ดูดกลิ่น และสารพิษจากร่างกายที่ขับออกมาในรูปของเหงื่อได้ดี อีกทั้งผ้าที่ได้ก็บางเบาสวมใส่ได้สบาย ไม่ระคายผิว ให้สัมผัสอ่อนนุ่ม มีความยืดหยุ่นดี ทนทานต่อการซัก ยิ่งซักยิ่งนุ่ม ไม่มีกลิ่นอับชื้นและไม่ขึ้นราแม้อยู่ในที่อับชื้น[1]
    งานวิจัยของสถาบันฟิสิกส์และวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประเทศจีน พบว่า ผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชง แม้จะเป็นการทอด้วยเส้นใยกัญชงเพียงครึ่งหนึ่งก็สามารถช่วยป้องกันรังสี UV ได้สูงถึง 95% (ถ้าทอทั้งผืนจะป้องกันได้ 100%) ในขณะที่เสื้อผ้าที่ทอด้วยผ้าประเภทอื่นจะป้องกันรังสี UV ได้เพียง 30-50% เท่านั้น และเส้นใยกัญชงที่ทำให้แห้งสนิทจะมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันไฟฟ้า มีค่าความต้านทานไฟฟ้าที่น้อยที่สุดก็ยังอยู่ที่ 30% ซึ่งมากกว่าเส้นใยฝ้าย ส่วนการทดสอบผ้าที่ทอด้วยเส้นใยกัญชงในสภาพความร้อนสูงถึง 370 องศาเซลเซียส ก็พบว่าไม่ได้ทำให้คุณสมบัติด้านสีเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ดังนั้นมันจึงเหมาะที่จะนำมาผลิตเป็นกระโจมพักแรม ชุดคลุมสำหรับผู้ปฏิบัติงานเฉพาะกิจ วัสดุตกแต่งภายใน และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมกันนี้ภายในเส้นใยมีออกซิเจนขังอยู่ตามรูต่าง ๆ มากพอสมควร จึงทำให้แบคทีเรียประเภท Anaerobic Bacteria ไม่สามารถเติบโตได้ นอกจากนี้เส้นใยกัญชงยังมีส่วนประกอบของสารที่เอื้อประโยชน์กับสุขภาพ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ จะไม่มีโรคพืชหรือแมลงชนิดใดที่สามารถทำลายต้นกัญชงได้เลย เนื้อสด ๆ ที่ห่อด้วยผ้าทอจากเส้นใยกัญชงจะคงความสดและอยู่ได้นานมากกว่าเป็นสองเท่าของปกติ รองเท้าที่ทำจากเส้นใยกัญชง จะป้องกันเท้าของคุณจากโรคเหน็บชาและโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้ และยังช่วยป้องกันสัตว์พิษกัดต่อยได้เป็นอย่างดี, ไส้กรอกที่ไม่ได้ห่อหุ้มอย่างมิดชิดด้วยผ้ากัญชงมักจะเน่าเสียได้โดยง่าย, วัสดุสำหรับธนบัตรมักทำมาจากเส้นใยกัญชง ฯลฯ ผลิตภัณฑ์ที่ทอจากเส้นใยกัญชงจึงเป็น "สินค้าปกป้องสิ่งแวดล้อม" และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนยุคใหม่ที่รักษาและห่วงใยธรรมชาติอย่างแท้จริง[3]           โดยได้มีการทำนายไว้ว่า ในอนาคตเส้นใยจากธรรมชาติเหล่านี้จะเข้ามาทดแทนเส้นใยเคมีทั้งหมดในอนาคต เนื่องจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ส่วนประโยชน์อื่น ๆ ของเส้นใยกัญชงก็เช่น ใช้ฟั่นเป็นเชือก, ใช้ทำเสื้อเกราะกันกระสุน, ทำกระเป๋าหรือรองเท้า, เฟอร์นิเจอร์, ซีเมนต์, วัสดุบอร์ด, อุตสาหกรรมหนัก, ชิ้นส่วนเครื่องยนต์, ข้อต่อจักรยาน, วัสดุทดแทนไม้เนื้อแข็ง, ฉนวนกันความร้อน, วัสดุกันความชื้น, แม้พิมพ์, พรม ฯลฯ[1],[5]

    อนาคตของกัญชง

    ในปัจจุบันประเทศไทยยังจำแนกกัญชงเป็นพืชเสพติดประเภท 5 เช่นเดียวกับกัญชา ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เนื่องจากสารสำคัญที่มีอยู่ในพืชกลุ่มนี้ คือ tetrahydrocannabinol (THC), Cannabinol (CBN) และ Cannabidiol (CBD) ซึ่ง THC เป็นสารเสพติดที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ผู้เสพมีอาการตื่นเต้น ช่างพูด หัวเราะตลอดเวลา ส่วนสาร CBD เป็นสารต้านการออกฤทธิ์ของสาร THC ซึ่งในกัญชงนั้นจะมีปริมาณของสาร THC ต่ำมาก และมีปริมาณของสาร CDB สูงกว่าสาร THC ส่วนกัญชานั้นจะมีปริมาณของสาร THC สูง (ประมาณ 1-10%) และปริมาณของสาร THC ก็ยังมากกว่า CBD อีกด้วย[2]

    จึงทำให้ในหลาย ๆ ประเทศอนุญาตให้มีการปลูกต้นกัญชงได้อย่างถูกกฎหมาย แต่ต้องควบคุมไม่ให้พืชที่ปลูกมีสารเสพติด (THC) สูงกว่าปริมาณที่กำหนด อย่างในประเทศทางยุโรปจะกำหนดให้มีสาร THC ในกัญชงได้ไม่เกิน 0.2% ส่วนในประเทศแคนาดากำหนดให้มีไม่เกิน 0.3% และในประเทศออสเตรเลียกำหนดให้มีไม่เกิน 0.5-1% เป็นต้น แต่สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีเกณฑ์หรือมาตรการควบคุม เพราะสภาพแวดล้อมที่ปลูกนั้นมีผลต่อปริมาณของสาร THC โดยตรง และจากสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยที่ค่อนข้างร้อนจึงอาจทำให้ปริมาณของสาร THC ในกัญชงที่ปลูกนั้นมีปริมาณค่อนข้างสูง[2]               ซึ่งจากการศึกษาของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงใหม่ ที่ได้ทำการทดลองปลูกต้นกัญชงจำนวน 9 สายพันธุ์ โดยคัดเลือกสายพันธุ์ท้องถิ่นและสายพันธุ์จากต่างประเทศ ทำการปลูกใน 6 สภาพแวดล้อมและที่ระดับความสูงต่างกัน และปลูกในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่มีแสงแดดจัดและช่วงยาว ผลการทดลองพบว่า กัญชงทุกสายพันธุ์ที่นำมาปลูกจะมีปริมาณของสาร THC และ CBD เพิ่มขึ้นด้วยเมื่อต้นมีอายุมากขึ้นและจะมีมากที่สุดในระยะออกดอก (ดอกและใบเพศผู้จะมีปริมาณสูงสุด) โดยต้นกัญชงที่มีอายุ 60 วัน จะมีสาร THC 0.550-0.722%, ต้นอายุ 90 วัน จะมีสาร THC 0.754-0.939% มี CBD 0.361-0.480%, ต้นที่อยู่ในระยะออกดอกจะมีสาร THC 1.035-1.142% มี CBD 0.446-0.509% และผลการทดลองยังพบว่า ปริมาณของสาร THC นั้นจะมีแนวโน้มลดลงเมื่อพื้นที่ปลูกมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น โดยสรุปคือปริมาณของสาร THC จะมีความสัมพันธ์กับอายุของต้น ความสูงของพื้นที่ที่เพาะปลูก สายพันธุ์ที่ใช้ปลูก และความยาวของเส้นรอบวงของลำต้น ส่วนปริมาณของสาร CBD จะมีความสัมพันธ์กับอายุของต้น ความสูงของพื้นที่ที่เพาะปลูก และสายพันธุ์ที่ใช้ปลูกเท่านั้น (ข้อมูลจาก : ประภัสสร ทิพย์รัตน์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เชียงใหม่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข)
    ด้วยเหตุนี้จึงอาจทำให้กัญชงที่ปลูกนั้นเป็นพืชที่ให้สารเสพติดไม่ต่างจากกัญชา แต่ในอนาคตก็ไม่แน่นะครับ ประเทศไทยอาจมีการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะปลูกต้นกัญชงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายก็เป็นได้ครับ เพราะเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับอุตสาหกรรมเส้นใย อาหารและเครื่องสำอาง ที่สามารถทำรายได้ให้กับประเทศได้อย่างมหาศาล[2]         
    เอกสารอ้างอิง
    1. สำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ จังหวัดตาก.  “มารู้จัก "กัญชง" กันเถอะ...”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.tak.doae.go.th.  [20 มิ.ย. 2015].
    2. ผู้จัดการออนไลน์.  “สวยปิ๊ง! ด้วย "กัญชงจากกัญชา" ผลงานวิจัย จาก มช.”.  ( ทีมนักวิจัยจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : www.manager.co.th.  [20 มิ.ย. 2015].
    3. พันทิปดอทคอม.  “ความมหัศจรรย์ของผ้าทอจากเส้นใยต้นกัญชง”.  (by ตาลโตน).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : pantip.com.  [20 มิ.ย. 2015].
    4. สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (NNT).  “ททท.ตาก ร่วมกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ นำพี่น้องชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง โชว์อลังการทอผ้าใยกัญชง สืบสานวัฒนธรรมชาวม้ง บูชาเทพเจ้า หรือ เย่อโซ๊ะ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก : thainews.prd.go.th.  [20 มิ.ย. 2015].
    5. ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน).  “เฮมพ์ (กัญชง)”.  เข้าถึงได้จาก : www.sacict.net.  [20 มิ.ย. 2015].
              

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

ว่าด้วยเรื่องกัญชา

ทำไมกัญชาจึงดีต่อร่างกาย และช่วยได้แทบทุกโรค
@หมอพืช 

ก่อนไปถึงกัญชา ให้เข้าใจก่อนว่า ร่างกายมีระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ ระบบนี้พึ่งค้นพบประมาณ 20 ปี ซึ่งถือว่าใหม่มาก ใหม่จนวงการยาเคมีและการรักษาโรคของวงการแพทย์ ปรับตัวตามไม่ทัน

ระบบนี้ ได้ชื่อว่า เป็นระบบที่ทำหน้าที่ควบคุมหรือเข้าไปมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของทุกส่วนในร่างกาย จะเรียกมันว่า ประธานบริษัท หรือ CEO ก็ได้ที่สามารถสั่งลูกน้องได้ในทุกแผนก ไม่ใช่แค่ระดับหัวหน้าแผนกแบบยาเคมี ที่สั่งได้เฉพาะลูกน้องในแผนกตัวเองเท่านั้น

ฉะนั้น การที่มันไปควบคุมในทุกๆระบบตั้งแต่ปลายเท้าจรดเส้นผม มันจึงมีอิทธิพลอย่างมากในการดูแลหรือควบคุมอาการของโรคที่จะเกิดขึ้น

ร่างกายมีสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์ ที่สร้างขึ้นเองได้ แต่ถ้าร่างกายเสื่อมหรืออายุมากขึ้น เป็นธรรมดาที่กระบวนการสร้างจะเสื่อมด้วย และมีใช้น้อยลง และไม่เพียงพอ

มีไม่เพียงพอ ต้องทำอย่างไร

ก็ต้องหาเพิ่มหรือเติมเข้าไป ซึ่งปัจจุบันเราก็พบว่า สารที่ใกล้เคียงที่เหมาะสมที่สุด อยู่ในต้นกัญชา

ทีนี้พอมองภาพออกหรือยังครับว่าทำไม กัญชาจึงจะดีต่อทุกระบบในร่างกายและจะช่วยรักษาโรคได้

ขยายความเพิ่มอีกนิด ระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ ที่มีสารแคนนาบินอยด์ที่สร้างขึ้นเองไม่พอ จะทำให้ระบบหรืออวัยวะในร่างกายค่อยๆเกิดความเสียหายสุดท้ายโรคก็เกิดขึ้น ซึ่งในเมื่อสร้างไม่พอ ก็ต้องหามาเพิ่มจากข้างนอก ซึ่งก็คือ กัญชา นั่นเอง

ในทางการแพทย์ในต่างประเทศ เรียกโรคทุกโรคที่เมื่อก่อนจับแยกว่า โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคนู้นนี่นั่น แต่ตอนนี้ เริ่มจะเรียกโรคหรือกลุ่มอาการเหล่านี้ว่า Clinical endocannabinoid deficiency หรือเข้าใจง่าย คือ ภาวะพร่องสารเอ็นโดแคนนาบินอยด์

มันสำคัญอย่างไร 

สำคัญตรงที่ เมื่อมีโรคต่างๆเกิดขึ้น อันดับแรกที่จะต้องแก้ไข คือ แก้ตรงที่ระบบนี้ และเติมสารเหล่านี้ให้ร่างกาย ไม่ใช่ไปหลงทางกับยาเคมีแบบที่ผ่านมา

สรุปคือ

1)ในร่างกายมีระบบ endocarnabinoid ชึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ ทุกระบบ โดย

ร่างกายสร้างสาร carnabinoid  หรือสารคล้ายกัญชา ขึ้นมาเองในตัว

เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายจะมีปุ่มรับ สารendocarnabinoid ที่ผนังเซลล์
ชึ่งปุ่มนี้จะยอมให้สารนี้ผ่านเข้าสู่ภายในเซลล์ได้

สารcarnabinoid จะไปทำให้ระบบการทำงานของเซลล์ดีขึ้น ทุกๆเซลล์ ชึ่งสารนี้จำเป็นมากสำหรับทำให้เซลล์ทำงานได้ดี

เมื่อเราแก่ลง หรือเป็นโรค
ร่างกายก็สร้างสารcarnabinoidนี้น้อยลง

เซลล์ก็จะขาด สารนี้ การทำงานของเซลล์ก็ไม่ดี

เมื่อเราให้กัญชาชึ่งเหมือนสารที่เราขาดไป เซลล์ได้รับสารนี้เพิ่มขึ้น ก็จะกลับมาทำงานดีขึ้น ทุกเซลล์ทุกระบบ

กัญชาจึงสามารถช่วยรักษาโรคได้เกือบทุกโรค

ขอบคุณข้อมูลจาก Google
โดยนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ สง่าราศี

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2563

โกโก้กับช็อคโกแล๊ต

สงสัยมั้ย โกโก้ กับ ช็อกโกแลต มันต่างกันยังไง??

เวลาไปยืนอ่านเมนูในร้านกาแฟ ก็มักจะมีเครื่องดื่ม
ที่เรียกว่า "โกโก้ร้อน" "โกโก้เย็น" "โกโก้ปั่น" แต่บางร้าน ก็เขียนว่า "ช็อกโกแลตร้อน" "ช็อกโกแลตเย็น"
"ช็อกโกแลตปั่น"... 
แล้วตกลงมันต่างกันมั๊ย? อะไรเรียก "โกโก้" อะไรเรียก 
"ช็อกโกแลต" 

ของทั้งสองอย่างนี้เป็นแฝดคนละฝา ทำมาจากของอย่างเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่กรรมวิธี จริงๆแล้วทั้งโกโก้และช็อกโกแลตนั้น ทำมาจากเมล็ดของต้นกาเกา (cacao) หรือบ้านเราเรียกเอาง่ายว่าตันโกโก้ นั่นแหละ โดยนำเมล็ดในฝักมาแช่น้ำหมักไว้ จากนั้นนำไปล่อนเปลือก นำไปคั่ว และ บดเป็นผง 

และตรงนี้ คือทางแยก ... ถ้านำผงที่ได้ไปใช้เลย 
เราจะเรียกว่า "ผงช็อกโกแลต" 
แต่ถ้านำไปผ่านกระบวนการสกัดเอาไขมันที่เรียกว่า "โกโก้บัตเตอร์" ออกจนหมด ก็จะกลายเป็น 
"ผงโกโก้" 

นั่นเป็นที่มาว่า โกโก้จะมีรสขมขื่นคอ บาดลิ้น และ
ช็อกโกแลตจะหอม มัน มีรสนุ่มละมุนกว่า เพราะยังมี
ไขมันโกโก้บัตเตอร์ปนอยู่ 

ด้วยเหตุนี้เองโกโก้นั้นจะเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพกว่าช็อกโกแลต ในฐานะที่มีไขมันน้อยกว่า แม้จะไม่หอมมันเท่า

และนี่คือความแตกต่างของแฝดคนละฝา "โกโก้" และ 
"ช็อกโกแลต" นั่นเอง

ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ 
ท่านเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง ของรพ.ศิริราช
ท่านบอกเคล็ดดีๆของ 
    • การรักษาสมองให้แจ่มใส 
    • ความจำยังคงดี แม้วัยจะสูงขึ้น 
    • ลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์ 

ด้วยการกินโกโก้ร้อน (ไม่ใช่ช็อกโกแลต)
ย้ำโกโก้ 100% แบบไม่ผสมน้ำตาลนะ
จิบตอนเช้าๆแทนกาแฟ 
แต่ถ้าจะให้อร่อย อุ่นนมสดให้ร้อน
แล้วใส่ผงโกโก้คนให้เข้ากัน ลองกินดูซักเดือนนะ 
ไม่เสียหายอะไร
คุณหมอบอกทดลองกินมา 6 เดือนละ จำอะไรๆได้ดีขึ้น

#วิธีชงโกโก้นมสดง่าย ๆ
1. เทนมสดกล่องลงในแก้ว 3/4 กล่อง
2. อุ่นใน microwave 50-60 วินาที นมจะเดือดแต่ยังไม่หกล้นแก้วถ้าใส่ 3/4 ของกล่อง
3. เอานมอุ่นออกมาผสมกับโกโก้ 3-4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน
4. เติมนมที่เหลือในกล่องลงผสมให้เข้ากัน
จะได้โกโก้นมสดอุ่น พอดื่มได้พอดี
ใช้นมไวตามิลค์เจ แทนนมสดก็ดี สำหรับมังสวิรัติที่เคร่งครัด

ท่านให้คำแนะนำที่น่าสนใจลองอ่านและพิจารณาดูนะคะ

#สรุปสาระสำคัญมาได้ว่า
1. หากจมูกใครเริ่มไม่ได้กลิ่น แม้ไม่เป็นหวัด 
ให้รีบไปตรวจ เพราะอาจมีผลต่อสมองส่วนความจำในระยะต่อไป พึงทราบว่าอัลไซเมอร์ เริ่มถามหาท่าน สว. แล้ว

2. เซลล์สมอง พัฒนาเต็มที่ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ
หลังจากนั้นเซลล์จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่ การเลี้ยงดูเด็กทารก  จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก

3. ในอีกไม่กี่ปี อัลไซเมอร์จะเป็นโรค ที่คนแก่เป็นมากที่สุด จะแซงหน้ามะเร็ง อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม

4. อัลไซเมอร์ นอกจากจะมีผลต่อความจำแล้ว 
ยังมีผลต่อความคิด การตัดสินใจ และอารมณ์
ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์
หรือ มีสภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ

5. การอดนอนมีผลต่อความจำ สว.ควรนอนให้เพียงพอ
ถ้านอนน้อย โอกาสอัลไซเมอร์มาอยู่ด้วยมีสูง
ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น. 
คือ ถ้านอนได้คืนละ 7~8 ชม.ได้จะดีมาก สภาวะสมองเสื่อมจะถอยออกห่าง

6. อาหารของสมองมี 2 ชนิด คือ กลูโคส และออกซิเจน
    - กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม. 
    - ถ้ามากกว่า 120 เป็นเบาหวาน 
    - ผู้สูงอายุปกติน้ำตาลในเลือด จะอยู่ที่ 100-120 
    - ถ้ามีน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่า โชคดี มีบุญ 
    - สว.ทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาวๆ ในทุกครั้งที่นึกได้ จะช่วยเติมออกซิเจน และไล่อากาศเก่าที่หมักหมมอยู่ในปอดออก สมองจะสดชื่น แจ่มใส 
อัลไซเมอร์ จักหนีห่าง

7. ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา คนที่เป็นอัลไซเมอร์
มีเพียงวิธีป้องกัน ที่ช่วยลดความเสี่ยง ที่จะเป็นอัลไซเมอร์ 
  7.1 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องรักษาเบาหวาน ลดความดันโลหิต และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ
  7.2 คนทั่วไป ต้อง…ฝึกสติ ด้วยวิธีใดก็ได้ สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ และมีกิจกรรม/ทำอะไรใหม่ๆ 
เพื่อให้สมองได้ทำงาน 
(แต่อย่าไปคิดเรื่องลงทุน ที่ไม่เคยทำ และไม่ถนัดนะ จะหมดตัวซะก่อน)

8. โกโก้ (ไม่ใช่ช็อกโกแลต) เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ 
    • มีสารต้านอนุมูลอิสระ
    • สารลดอัตราการตายของเซลล์ 
    • สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ 

....มีงานศึกษาวิจัยประโยชน์ของโกโก้หลายผลงานวิจัย พบว่า การดื่มโกโก้ ในปริมาณมากพอ จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น (โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex) ....

คุณหมอแนะนำ ให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกวันตอนเช้า 
    - โดยใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ ควรเติมน้ำผึ้ง เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น "Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzeimer away " 
    - โกโก้ รสชาติไม่อร่อย แต่มีคุณค่ามหาศาล
สามารถไล่อัลไซเมอร์ให้หนีไปไกลได้เลย ส่วนผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดไม่สูง ไม่เกิน 100 อาจเติมนม/น้ำตาลช่วยชูรสชาติเพิ่มได้ 
(จากผลวิจัยในต่างประเทศ…ถ้าใช้ผงโกโก้น้อยกว่าครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ…จะไล่อัลไซเมอร์ไม่ค่อยได้ผลมากนัก)

ขอบพระคุณคำแนะนำดีดีด้วยนะคะ

cr : ข้อมูล&ภาพจากอินเตอร์เนต

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

สถาบันโรคกระดูกพรุนแห่งสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาเตือนให้หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินไปเพื่อลดปัจจัยที่จะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้

คาเฟอีนจะสร้างกลไก 2 อย่างที่มีผลทำให้

  1. ขัดขวางการสร้างมวลกระดูกใหม่
  2. ลดความหนาแน่นของมวลกระดูก

มีการศึกษาจำนวนมากที่แสดงถึงผลของคาเฟอีนที่มีต่อการดูดซึมและการขับออกของแคลเซียม ในกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี พบว่าการบริโภคคาเฟอีน (ในรูปของกาแฟ) เกี่ยวข้องกับการทำให้สมดุลของแคลเซียมเสียไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยร่างกายเราจะสูญเสียแคลเซียมน้อยกว่า 5 มิลลิกรัมทุกๆการบริโภคกาแฟหนึ่งแก้ว ผลกระทบของคาเฟอีนเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ หรือเพิ่มความสูญเสียของแคลเซียมในลำไส้ โดยทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางลำไส้มีประสทธิภาพน้อยลง ซึ่งทำให้สูญเสียมวลกระดูก ขัดขวางการสร้างมวลกระดูกใหม่และเป็นการเพิ่มความเสี่ยงภาวะกระดูกแตกหัก (Bone Fractures) อีกด้วย

ในทางตรงกันข้าม ก็มีการศึกษาอีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน ที่สรุปผลออกมาว่า การบริโภคคาเฟอีนจากกาแฟไม่ได้มีผลหรือเพิ่มความเสี่ยงของภาวะกระดูกแตกหักแต่อย่างใด (แต่มีการสูญเสียแคลเซียมแน่นอน) การสรุปผลในเรื่องนี้ว่า คาเฟอีนจะทำให้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้ 100% จึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำการทดลองและวิจัยกันต่อไป

ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่สามารถสรุปผลได้ว่าการดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนจะทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ 100% แต่ทางผู้เขียนเห็นว่า ข้อมูลหรือผลการทดลองบางอย่างจากงานวิจัยที่ได้ศึกษามา มีความน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อผู้อ่านในแง่มุมของการนำไปใช้ จึงขอนำเสนอข้อมูลต่อไปนี้เพิ่มเติมครับ

  • ปริมาณการดื่มกาแฟที่ไม่มากเกินไป คือ 1-2 แก้ว (อยู่บนมาตราฐานที่ว่า 1 แก้ว = 150 มิลลิลิตร มีคาเฟอีน 80 มิลลิกรัม)
  • การดื่มกาแฟในปริมาณมาก ร่างกายยิ่งได้รับคาเฟอีนมากและสูญเสียมวลกระดูกมากตามไปด้วย
  • ร่างกายของแต่ละคนตอบสนองต่อคาเฟอีนไม่เหมือนกัน ร่างกายใครมีการย่อยและเผาผลาญคาเฟอีนได้เร็วกว่าจะสูญเสียมวลกระดูกมากกว่าผู้ที่มีการย่อยและเผาผลาญคาเฟอีนได้ช้ากว่า
  • หากท่านบริโภคกาแฟแต่น้อย (0-2 แก้วต่อวัน) มวลกระดูกที่สูญเสียไปจากการบริโภคกาแฟอาจไม่ได้มีนัยสำคัญ จนทำให้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้
  • หากท่านเป็นคนบริโภคกาแฟจำนวนมาก (ตั้งแต่วันละ 4 แก้วขึ้นไป) การบริโภคอาหารเสริมแคลเซียมอาจไม่ได้ช่วยชดเชยหรือป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกได้ การบริโภคกาแฟมากเกินไปจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย การบริโภคแคลเซียมชดเชยจึงอาจไม่ได้ผล

แม้ผลการวิจัยเรื่องผลของคาเฟอีนจากกาแฟ จะมีข้อขัดแยังกันอยู่บ้าง แต่ถ้าพิจารณารายงานผลการทดลองจากงานวิจัยทั้งหมด จะพบว่า การบริโภคกาแฟในปริมาณที่มากเกินไปมีแนวโน้มจะทำให้เสียมวลกระดูกและเพิ่มความเสี่ยงของกระดูกแตกหัก ต่างจากการดื่มชาที่ผลการทดลองมีแนวโน้มว่า “ช่วยในการเพิ่มมวลกระดูกและลดความเสี่ยงภาวะกระดูกแตกหักได้” รายละเอียดเพิ่มเติม การดื่มชามีความเสี่ยงทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนหรือไม่ ?

ส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนยังเชื่อว่า การดื่มกาแฟ มีผลทำให้สูญเสียมวลกระดูกอย่างแน่นอน แต่จะสูญเสียกันมากเท่าไหร่ ? และถึงขึ้นต้องเป็นโรคกระดูกพรุนไหม ? ก็ไม่อาจสรุปเป็นมาตราฐานหรือตัวเลขให้ได้แน่ชัด ขึ้นสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล แต่ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากสูญเสียมวลกระดูกที่เป็นทรัพยากรอันสำคัญและมีค่าต่อร่างกายในช่วงบั้นปลายชีวิตใช่ไหมครับ ?

สรุป

การบริโภคกาแฟเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างระมัดระวัง เพราะผลการทดลองแสดงให้เห็นแล้วว่า มีผลเสียทำให้สูญเสียมวลกระดูก ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่สามารถสรุปผลได้ชัดเจนว่านำไปสู่การเกิดโรคกระดูกพรุนอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราทำใจให้เป็นกลางก็จะเห็นว่า “การสูญเสียมวลกระดูกไม่ได้เป็นผลดีกับเราแต่อย่างใด” ดังนั้น การบริโภคกาแฟกันแต่พอดีน่าจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2563

กัญชง พืชเศรษฐกิจ

บัญชีอยู่แล้ว?หรือ
ขอสนับสนุนกัญชงไทย
โดย
นิติภูมิธณัฐ
มิ่งรุจิราลัย
ผมเห็นด้วยกับนายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ทปษ. รมว.อุตสาหกรรม ที่ผลักดันและส่งเสริมพืชกัญชงในภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถที่จะเข้าไปแข่งขันในตลาดสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย
ผมขอเรียนเพิ่มเติมว่ากัญชงให้ประโยชน์ 2 อย่าง อย่างแรกคือให้สารสกัด CBD ที่เป็นประโยชน์ในวงการแพทย์ อย่างที่สองคือเส้นใยกัญชงซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่ได้รับความนิยมสูง
ผมขอสนับสนุนให้มีการพัฒนากัญชงแต่ละสายพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์ให้เป็นเส้นใยกัญชงไทย ด้วยความเชื่อที่ว่ากัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคต เพราะใช้ทั้งเป็นผลิตภัณฑ์สิ่งทอและใช้ในการแพทย์
ความสนใจในกัญชงทำให้ผมได้รับการติดต่อจากนายลีโอ หยู ประธานบริษัท ยูนนาน เฮมพ์มอน ฟาร์มาซูติคอลส์ จำกัด ให้เดินทางไปดูโรงงานสกัดสาร CBD จากกัญชงที่กำลังก่อสร้างในนิคมอุตสาหกรรมคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีนถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเดือนพฤษภาคม 2562 และครั้งที่สองเดือนสิงหาคม 2562
ในเดือนพฤษภาคม 2562 นอกจากไปดูสถานที่ก่อสร้างโรงงานแล้ว นายหยูยังพาผมนั่งทั้งรถไฟความเร็วสูงและรถยนต์ไปตระเวนดูการปลูกกัญชงใน 12 ตำบลของอำเภอฝูเจ๋อเฮย มณฑลยูนนาน
พอถึงเดือนสิงหาคม 2562 ผมเดินทางไปดูแปลงกัญชงที่ตำบลจานอี้ อำเภอฉวีจิ้ง มณฑลยูนนาน และได้ไปใช้ชีวิตช่วงหนึ่งกับพี่น้องเกษตรกรจีนผู้ปลูกกัญชงด้วย
มหาวิทยาลัยชิงหัวมีงบวิจัยและพัฒนาในเรื่องการสกัดสาร CBD และสารอื่นจากพืชปีละ 1 หมื่นล้านหยวนหรือประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
มหาวิทยาลัยชิงหัวถือหุ้นในบริษัทยูนนานฯ ร้อยละ 61 ซึ่งบริษัทนี้เป็นเจ้าของโรงงานสกัดสารจากกัญชงที่คาดว่าจะสามารถผลิตสาร CBD ได้ตั้งแต่ปีละหลายสิบตันไปจนถึงมากที่สุด 200 ตันต่อปี
โรงงานมีทั้งหมด 2 เฟส เฟสแรกใช้เงินก่อสร้างเบื้องต้น 2 พันล้านหยวนหรือเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เฟสสองจะขยายพื้นที่อีก 2 แปลง รวมแล้วเป็นการลงทุนทั้งหมดเกือบ 3 หมื่นล้านบาท
รัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้ปลูก ‘กัญชา’ และสาร THC เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่อนุญาตให้ปลูก ‘กัญชง’ ได้ในบางมณฑล
ทราบว่าขณะนี้มี 2 มณฑลที่ได้รับอนุญาตแล้วคือมณฑลเฮย์หลงเจียง และมณฑลยูนนาน สำหรับมณฑลจี๋หลินนั้น คาดว่าจะได้รับการอนุญาตต่อไปในอนาคตอันใกล้
เป้าหมายการปลูกกัญชงของมณฑลยูนนานคือการผลิตสาร CBD ส่วนเป้าหมายของมณฑลเฮย์หลงเจียงคือการปลูกเพื่อนำมาใช้ทำเส้นใย อาหาร และเมล็ดพันธุ์
คนจีนใช้ผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชงมานานแล้ว
ความแข็งแรงของเส้นใยและสามารถดูดซับความชื้นได้ดีกว่าผ้าฝ้ายและไนล่อน ให้ความอบอุ่นมากกว่าผ้าลินิน
ผ้าที่ทำจากกัญชงให้ความรู้สึกเย็นสบายในหน้าร้อน และความอบอุ่นในหน้าหนาว ยิ่งซักยิ่งนุ่ม ไม่มีกลิ่นอับ ไม่ชื้น และไม่ขึ้นรา
เสื้อผ้าที่ทอจากเส้นใยพืชประเภทอื่นป้องกันแสงยูวีได้ร้อยละ 30-50 แต่เสื้อผ้าที่ทอจากเส้นใยกัญชงป้องกันแสงยูวีได้เกือบร้อยละ 100 เป็นฉนวนกันไฟฟ้า ป้องกันไฟดูด
แม้จะอยู่ในอุณหภูมิที่สูงถึง 370 องศาเซลเซียสก็ไม่เปลี่ยนสี
แบคทีเรียไม่สามารถจะเติบโตได้ในเส้นใยกัญชง เมื่อใช้ผ้าจากเส้นใยกัญชงห่อเนื้อสด เนื้อจะอยู่ได้นานเป็น 2 เท่าของเนื้อที่ห่อด้วยผ้าที่ทอด้วยเส้นใยพืชประเภทอื่น
รองเท้าที่ทำจากเส้นใยกัญชงสามารถป้องกันโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้
ถ้าจะนำมาทำเส้นใย กัญชงยังไม่ทันออกดอกต้องรีบตัด ถ้าจะนำมาทำอาหาร ก็ต้องปล่อยให้ออกดอกและมีเมล็ด นอกจากนำเมล็ดมาทำอาหารแล้ว ยังเอาไปทำเมล็ดพันธุ์ด้วย
เรามีความจำเป็นต้องเสาะแสวงหาพืชเศรษฐกิจประเภทอื่นๆ มาให้เกษตรกรไทยของเราปลูก เพื่อทำให้เกษตรกรมีทางเลือกและมีรายได้เสริมเพิ่มขึ้น
เรื่องกัญชงที่จะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ให้เกษตรกรไทยนี่ ผมขอสนับสนุนสุดตัวครับ.