วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

A superb article ...

👉When TV came to my house. I forgot how to read books. 👉When the car came to my doorstep, I forgot how to walk. 👉When I got the mobile in my hand, I forgot how to write letters. 👉When computer came to my house, I forgot spellings 👉When the AC came to my house, I stopped going under the tree for cool breeze👉When I stayed in the city, I forgot the smell of mud. 👉By dealing with banks and cards, I forgot the value of money. 👉With the smell of perfume, I forgot the fragrance of fresh flowers. 👉With the coming of fast food, I forgot to cook traditional cuisines .👉Always running around, I forgot how to stop. 👉👉And lastly when I got (line), I forgot how to talk.🤔🤔🤔💐💐💐

วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560

เรียน นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะกรรมการ
เรื่อง   ขออนุญาตใช้ชื่อสมาคม
เนื่องด้วยกระผม  ไพสิฏฐ์  จารุไพบูลย์ ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาชิก และ ครู ของชมรมลีลาศ ที่เช่าพื้นที่ของสมาคมในการเรียน การสอน โดยใช้พืนที่เรียน-สอนอยู่ชั้นที่สอง ของสมาคมฯในวัน จันทร์ถึงวันพุธ ของทุกสัปดาห์  และได้เปิดทำการเรียนการสอนมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้ว ทำให้มีสมาขิกทั้งเก่าและใหม่มากมาย แต่ไม่สามารถ ติดต่อสืื่อสาร กันได้ทั้งระหว่างสมาชิกด้วยกันและ คณะครูหรือผู้บริหารฟลอร์ เพื่อสะดวกในการส่งข่าวสาร พบปะพูดคุยกันในหมู่สมาชิกและการส่งข่าวสาร ระหว่างผู้บริหารและครูกับสมาชิก จึงมีนโยบายที่จะเปิดกลุ่มไลน์กันขึ้น
เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ดังกล่าว และเนื่องจากว่า ฟลอร์ลีลาศของชมรมฯ ได้เปิดการเรียนการสอนอยู่ที่ สมาคมมานานแล้ว แต่ใช้ชื่อว่าแบบไม่เป็นทางการว่า " ฟลอร์สมาคมชาวปักษ์ใต้ " มาจนถึงปัจจุบันนี้ เนื่องจากเป็นความจำเป็นที่ต้องใช้ชื่อที่บ่งบอกถึง สถานที่ตั้งและสถานที่ทำการ ของฟลอร์ชมรมฯ ชื่อของชมรมจึงใช้คำว่า "ฟลอร์สมาคมชาวปักษ์ใต้ " ตั้งแต่นั้นมา
ในการที่จะตั้งชื่อกลุ่มไลน์และ social network ใดๆ จะตั้งชื่อ โดยใช้ชื่อของสมาคมฯ ไปโดยพละการนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำก่อนได้รับอนุญาต จึงใคร่ขออนุญาต ต่อท่านนายกสมาคมฯและคณะกรรมการสมาคมฯ เพื่อขออนุญาตใช้ชื้อ "สมาคมชาวปักษ์ใต้" หรือ "ลีลาศสมาคมชาวปักษ์ใต้" ชื่อใดชื่อหนึ่ง หรือให้เลือกได้ทั้งสองชื่อ ส่วนความเหมาะสมของชื่อทั้งสอง ชื่อ"สใาคมชาสปักษ์ใต้"น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อนำไปตั้งชื่อไลน์กลุ่มแล้ว ไม่เกิน 20 ตัวอักษร ตามกฎของบริษัทไลน์ฯ
  จึงกราบเรียนมาเพื่ออนุญาต
ลงชื่อ
(ไพสิฎฐ์   จารุไพบูลย์)
  ผู้แทนชมรมลีลาศสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

หนังสือของในหลวง

"The Visionary" ถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต

หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องถึงวิสัยทัศน์อันน่าอัศจรรย์ของในหลวงรัชกาลที่ 9

Vision ของในหลวงเกิดจากหลักการง่ายๆอยู่ 2 ข้อก็คือ
1. มองปัญหาให้ลึกซึ้ง
2. กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน

หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 9 บท แต่ละบทพยายามวิเคราะห์การทำงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ออกมาเป็นหลักการ 9 ข้อ ผ่านแต่ละด้านของชีวิตการทำงานตลอด 70 ปี ของพระองค์

หลักคำสอนของท่านสามารถนำมาปรับมาใช้ในชีวิตประจำวันและทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอย่างแน่นอน

บทที่1 อยากสำเร็จให้ stay connected
https://youtu.be/NWc3lQ_aht4

บทที่2  อุปกรณ์ที่เหมาะสมจะสร้างงานที่ดี
https://youtu.be/dVAQ2XdawkY

บทที่3 จะนำใครต้องได้ใจคน
https://youtu.be/aYf_x_ePMq4

บทที่4 ลงทุนกับสิ่งที่มีค่าที่สุด
https://youtu.be/oxNg1NMuOSc

บทที่5 แย่แค่ไหน ก็กลับมาดีได้
https://youtu.be/O9WDGcJzSZ8

บทที่ 6 คิดให้ใหญ่ มองให้เล็ก
https://youtu.be/2XzFKgSA5Cw

บทที่ 7 ถ้าเชื่อมั่น ก็ไปให้สุดทาง
https://youtu.be/l4nA4Uisjmk

บทที่ 8 มองหาศัตรูที่แท้จริง
https://youtu.be/FnITtatjzbE

บทที่ 9 แยกความอยาก ออกจากความจำเป็น
https://youtu.be/3Sc3MDPXvew

บทสรุป/บรรณาณุกรม
https://m.youtube.com/watch?v=QFihgN-rJdY#

วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

เกี่ยวกับบอท

ง,ปิด  = siri:off
ป,เปิด= siri:on
น,นับ  = เริ่มนับคนอ่าน
อ,อ่าน = แสดงชื่อคนแอบอ่าน
@ = เช็คแอด
ข  = ล้างบัญชีดำ
ด  = ตั้งบัญชีดำ
ปอ = เปลี่ยนแอดมิน
สลับ = สลับแอดมิน
ร,รอง = เช็คแอดมินรอง
ตอร  = ตั้งแอดมินรอง
ล = ชุดคำสั่งล็อคห้อง
ปช  = เปิดให้คนอื่นเชิญ
ปิช = ปิดไม่ให้คนเชิญ
รี  = เรียกบอทกลับ
ปิล = ปิดลิ้ง
ปล = เปิดลิ้ง
ยช = ยกเลิกค้างเชิญ
ช = เช็คการตั้งค่ากลุ่ม
ปบอ = เปิดบอทอ่าน
ปิบอ = ปิดบอทอ่าน
หรต = ห้ามรันสติ๊กเกอร์

วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

การดำเนินชีวิต ตามปรัชญา """พอเพียง"""

  คำว่า ""พอเพียง"" ฟังดู BASIC มากๆ ธรรมดาๆ แต่ความหมาย ลึกซึ้งมากมาย เกินกว่าคนธรรมดาที่ไม่ศึกษา หรือลองนำมาใช้ ก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจ และนำมาบริหารชีวิตตัวเอง พูดไปก็เหมือนกับ คำพูดที่ว่า
""ใครดูแลเกื้อกูลพ่อแม่ได้ดี จะส่งผลให้ชีวิตพบแต่สิ่งดีๆ เจริญก้าวหน้า ""เรื่องนี้หลายคนสงสัยว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน พ่อแม่มีเวทมนต์เสกให้ลูกหลานร่ำรวยได้หรือ.??เปล่าเลย ..เรื่องนี้หาเหตุผลไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่าเกิน 90% เป็นแบบนั้นจริง  ซึ่งถ้าจะหาเหตุผลมาอธิบายคงจะยาวเกิน
   ใครจะเชื่อว่า คนไทยคนหนึ่ง จะสามารถคิดเรื่องนี้ ศึกษาเรื่องนี้จนแตกฉานลึกซึ้ง จากเรื่องธรรมดาๆ  มาเป็นทฤษฎี เป็นหลักการ จนสุดท้าย กลายมาเป็นปรัญา..."".ปรัญาเศรษกิจพอเพียง..""
  และก็คนไทยคนนั้นก็คือ ในหลวงในรัชการทค่ 9 ของเรานี่เอง ซึ่งพระองค์ท่านไปสุเยอดของผู้ชำนาญการเกือบทุกสาขาวิชา นักวิทยาศาสตร์ นักดนตรี นักปรัชญา นักวัศวกรนมชลประทาน นักประดิษฐ์ นักประพันธ์ นักพัตนา  ....ฯลฯ นี่คือสุดยอดมนุษย์ คนเดียวที่เราและทั่วโลกรู้จัก ท่านสามารถนำเอาเรื่องธรรมดาๆ ที่อยู่ใกล้เราทุกคน ที่หยิบฉวยเอามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เอามาประยุกต์ หาความจริง ใส่หลักการเข้าไป จนกลายเป็นปรัชญา ที่มีคุณค่ามหาศาล ใครหรือประเทศไหน น้อมนำไปศึกษาจริงจัง แล้วนำไปปฎิบัติ จะให้คุณมหาศาล แก่บุคลนั้น หรือประเทศนั้นๆ
   เป็นที่น่าเสียดายที่ เราประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นข้ารองพระบาทพระองค์ท่านโดยตรง กลับมีความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยมาก แม้แต่ภาครัฐบาลก็ยัง ใช้เวลาบนสื่อ เน้นแต่เรื่องที่น้อมนำไปปฎิบัติทางเกษตรเพียงอย่างเดียว จนประชาชนคนไทยที่ไม่เข้าใจลึกซึ้งเรื่องนี้ เข้าใจไปว่า ปรัชญาเศรษกิจพอเพียง ของพระองค์ท่านใช้ได้เฉพาะในแวดวงเกษตรเท่านั้น
   ความจริงแล้ว ปรัชญาทฤษฎีของความพอเพียงนี้ สามารถใช้ได้ในทุกสาขาวิชาชีพ เพราะหลักการสำคัญของปรัชญานี้เน้นเรืีองลดความสิ้นเปลือง งดใช้ของให้เหลือ วางแผนใช้เท่าที่พอดี .....พอดี บนความพอใจ....
   ...พอดีบนความพอใจ...คำนี้มีความหมายมากๆ เพราะแฝงด้วย ความหมายที่มีค่าสูงยิ่ง และถ้าใครเข้าใจ และสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ จะมีความสุขกาย สุขใจ เงินเหลือในกระเป๋าเยอะ...ยังไงหรือ..??? เรามาลองว่ากัน..
   สมมุติว่าคนสองคินหิวข้าวเท่าๆกัน เข้าร้านอาหารพร้อมกัน คนหนึ่งคิดว่าสำหรับตัวเองแล้ว ข้าวหนึ่งจากับข้าวหนึ่งอย่าง คือพอดีและพอใจแล้ว ส่วนอีกคน พอดีและพอใจของเขาคือ ข้าวสองจาน กับข้าวห้าอย่าง  ทั้งสองเมื่อกินเสร็จ คนแรกทานอิ่มท้องอาหารหมดพอดี ส่วนคนที่สองเหลือข้าวหนึ่งชาม กับข้าวทานหมดสองอย่างเหลือสามอย่าง จะเห็นว่าคนที่สองนี้ พอใจแต่ไม่พอดี จึงไม่เข้าหลักทฤษฎีพอเพียง สิ่งที่ตามมาคือ อาหารเหลือทิ้ง เป็นขยะให้สังคม ระบบน้ำเสีย สิ้นเปลืองทรัพยากรณ์ ทั้งวัตถุดิบและแรงงานจัดการ ถ้าลองนึกภาพดูว่า ถ้าคนหนึ่งล้านคนทำแบบบริโภคอาหารแบบพอใจแต่ไม่พอดี มีของเหลือ ในส่วนที่เหลือทั้งทรัพยากรณ์ที่ก่อนนำไปบริโภค และค่าใช้จ่าย แรงงาน ที่ต้องใช้จัดการของที่เหลือ จะมากมายขนาดไหนในอาหารหนึ่งมื้อ  นี่แค่ยกตัวอย่างการกินอาหารแค่หนึ่งมื้อด้วยคนล้านคนกับความคิดแบบพอเพียง นะ ถ้าคิดคนทั้งโลกด้วยอาหารทุกมื้อ รวมทั้งมื้อพิเศษที่กินกันตามวาระพิเศษ แบบไม่หิวก็ต้องกินอีกเท่าไหร่ มันจะมีขยะให้เป็นปัญหาตามมาอีกมากมายแค่ไหน..??? และนี่แค่เรื่องอาหารอย่างเดียวนะ มีอะไรอีกมากมายแค่ไหน ที่เราเสพ เราบริโภค ที่เกินพอดี ด้วยเหจุผลต่างๆมากมาย อวดรวย อวดฟู่ฟ่า อวดมั่งอวดมี เพื้อความบันเทิง เพื่อ..อะไรมิอะไรอีกมากมาย เสื้อผ้า รองเท้า ของใช้ ที่อยู่อาศัย ฟอนิเจอร์ เครื่องประดับ ...มากมายแค่ไหนที่ผู้บริโภคพยายามสรรหามาเสพ ทำให้ผู้ผลิตไล่แย่งสัตถุดิบที่กำลังจะหมดไปทุกที สัตว์ในทะเล สัตว์ป่า ต้นหมากรากไม้ พลังงาน อิฐ หิน ปูน ทราย หรือแม้กระทั่งดินที่เราเกยียบอยู่ ก็ยังพยายามเอามาดัดแปลง เพื่อตอบสนองส่งนเกินของมนุษย์เรามากมาย
  มาคิดอีกที ถึงความเป็นอัจริยะของพระองค์ท่าน ..เมื่อบางคนคิดผิด คำนวนผิด ว่าความพอดีของตัวเองมีแค่ไหน จนเหลือทิ้ง ท่านก็ให้คำนิยามไว้อีกว่า .....เหลือก็แบ่งปัน...ซึ่งส่วนที่เหลือของเราที่ไม่ใช้ประโยชน์แล้วอาจจะเป็นส่วนที่พอดีสำหรับคนอื่นที่เราแบ่งปันไป คนๆนั้นก็ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าจ่าย ประหยัดไปอีกครั้ง ครบแล้วนะครับ สูตรสำเร็จของปรัชญาพอเพียง สำหรับผม """...พอดีบนควนมพอใจ  เหลือให้แบ่งปัน...."" ไม่ใช่ประหยัด ขอเน้น เพราะถ้าพอดีแบบประหยัด คืออยากกินอีกและประหยัด นั่นทำให้เกิดความไม่พอใจ จะเกิดทุกข์ ปรัชญาของท่านต้องการให้มีความสุขกับความพอดี
   การจะฝึกการใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้ สิ่งสำคัญต้องเริ่มที่ฝึกความคิดก่อน คือ ต้องฝึกใช้สมาธิให้เป็น เพื่อจะได้ฝึกการใช้ความคิด คำนวน หักห้ามใจฝืนความอยาก ที่เกิดขึ้น ให้ได้ก่อน เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะใครดำเนินชีวิตแบบตามใจตัวมานานต้องใช้สมาธิ ฝึกหักห้ามใจ อยากได้อะไรใช้สติยั้งใจก่อนว่า แค่ไหนถึงพอดี เอาแค่นั้น พอใจแค่นั้น ใครเริ่มใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้สักเล็กน้อย เริ่มทีละเรื่อง ค่อยๆฝึกคิด เลือก อยากได้อะไร คิดให้เยอะๆว่าเอามาแล้วคุ้มไหม จำเป็นหรือยัง ที่มีอยู่ยังใช้ได้ไหม?
   เรามาลองคิดดูเล่นๆ สมมุติว่าคนทั้งประเทศ ร่วมใจกันกินปลาทู เท่าที่กินอิ่ม ไม่เผื่อมากจนเหลือ ที่เคยซื้อมาเยอะๆ แล้วเหลือ ก็จะเหลือซื้ิอพออิ่ม เมื่อจับมาเยอะแต่คนซื้อน้อย บริโภคน้อย ขายไม่ได้ต่อไปก็จับน้อยลง ปลาทูจะมีเต็มอ่าวไทย นี่ยกตัวอย่างเพียงเรื่องเดียว แต่ถ้าการบริโภคทุกอย่างของทุกคน ใช้แนวความคิดเดียวกันกับการบริโภค อุปโภค สินค้าทุกประเภท ทรัพยากรณ์ ทุกชนิดในประเทศจะเหลือมากมายไว้ให้ลูกหลายมากมายแค่ไหน และถ้าคนทั้งโลกมีการใช้ชีวิตเหมือนกันแบบนี้ โลกนี้จะสะอาดขึ้น น่าอยู่ขึ้น ทรัพยากรณ์ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต จะเหลือใช้มากมาย เราจะอยู่ร่วมกับสิ่งอื่นกันอย่างมีความสุข
   เราจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่บ้านใหญ่ เล็ก แต่งตัวด้วยเสือผ้าที่ต่างกัน เพราะเราจะไม่สนใจและให้ความสำคัญกับวัตถุ หรือเงิน แต่ทุกคนสนใจกับจิตใจที่สบาย พอใจกับสิ่งที่มี อาจจะได้เห็นคนขี่รถกระบะแต่งสูตรไปจอดหน้าโรงแรมหรู เพราะทุกคนมองรถคือยานพาหนะไม่ใช้เครื่ิงมือเสริมบารมีหรือของประดับอีกต่อไป
   ในสภาวะธุรกิจ ถอดถอยแบบนี้ น่าจะถึงเวลาที่รัฐบาล หรือหน่วยงาน  ทั้งภาครัฐและเอกชน น่าจะน้อมนำปรัซญาของพระองค์ท่าน มาตีความให้ชัดเจนและรณรงค์ให้ ประชาชนหันมาสนใจ ให้จริงจัง ทุกสาขาอาชีพไม่ต้องหวังให้ได้ทุกคน ขอแค่ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ รณรงค์อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่เป็นผู้นำ เป็นไอดอลของคนทั่วไป ที่พบเห็นบนสื่อสังคมบ่อยๆ เช่นนักการเมือง นักร้องนักแสดง ก็น่าจะเลิกเปิดบ้านตัวเองที่แสดงถึงความร่ำรวย ความฟุ่มเฟื่อย เช่นรองเท้าเป็นร้อยเป็นพันคู่ เสื้อผ้าต้องสร้างบ้านอีกหลังเพื่อเก็บ
     หวังไว้สักวันหนึ่งว่า ระบอบการปกครองที่เคยทดลองใช้มาหมดแล้ว ตั้งแต่ยุคเก่า มีพระมหากษัตริย์ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ หรือมาจนถึงประชาธิปไตยแบบวัตถุ(เงิน)นิยม อาจจะหันมาลองหยิบแนวความคิดแบบพอเพียงมาเป็นระบอบการปกครอง แบบ ..""ประชาธิปไตยแบบพอเพียง..""  ถึงวันนั้น ปรัชญาเศรษกิจพอเพียง ที่รู้จักกันเฉพาะในประเทศไทย อาจจะขยับกันเป็น ระบบการปกครอง  แบบประชาธิปไตยแบยพอเพียง บางก็ได้ ถ้ามีวันนั้นจริง พระองค์ท่านจะกลายเป็นบุคลสำคัญทางประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้....pjmong

  

วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

เรื่องเล่าจากรังวัดที่..

  วันนี้เพิ่งกลับจากรังวัดที่จันท์มา มีเรื่องมาเล่าอีกจนได้ครับ ..เรื่องของเรื่องคือที่ผมมีที่ติดคลองธรรมชาติ รังวัดช่วงเช้าน้ำยังไม่ขึ้น เราคุยกันถูกคอกับนายช่างรังวัดถึงเครื่องมือที่ใช้ปัจจุบันมันละเอียดเหลือเกิน โดยอาศัยดาวเทียมบอกพิกัดแต่ละเอียดกว่า google map ที่เราใช้กันอยู่มากครับ มีความผิดพลาดไม่เกิน 5 ซม.ถ้าเทียบกับดาวเทียมที่ห่างโลกเป็นพันๆ กม. มันชั่งละเอียดมากๆ นี่เขาว่า 5 ซม.เนียะความจริงมันแค่ 2 ซม.นะ ส่วนอีก 3 ซม.เผื่อไว้ให้กับคนจับเสาล่อเป้าเอียง จนนายช่างว่า ตอนนี้กำลังจะออกกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างที่ใกล้เคียง คือเชื่อเครื่องมือ ไม่มีคดีขึ้นศาลอีกต่อไป ที่เล่าเรื่องเครื่องมือเนียะเพราะเดี๋ยวตอนบ่ายมันจะถูกเอามาว่ากัน
   การรังวัดดำเนินไปเป็นปรกติ จนถึงหมุดสุดท้ายก่อนเที่ยง เป็นหมุดที่อยู่ใกล้น้ำที่สุด จนติดน้ำข้างล่างโน่น หมุดอื่นอยู่บนคันข้างบน เครื่องมือที่ว่า มันยิงมาตำแหน่งนี้ ตรงนี้หมุดเดิมโดนรถขุดของหลวงมาควักหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ได้ตำแหน่งจะวางหมุด ก็เริ่มเกิดปัญหา ..จนท.เทศบาลบอกว่ายังปักไม้ได้ ต้องขยับหมุดขึ้นมาบนคันเหมือนหมุดอื่น....งง..!! ละซิครับ..ก็ระยะบนโฉนด ด้วยเครื่องมันชี้ตรงนี้นี่นา เขาว่า ถ้าน้ำถึงไหนให้ถือว่าที่หลวงไปถึงนั่น ถึงเครื่องบอกระยะถูกต้องก็เถอะ และนายช่างรังวัดพูดเมื่อเช้านี้ต้องเชื่อเครื่อง ก็ ok เชื่อเครื่องเรื่องระยะ แต่ถ้าไปที่ติดน้ำ น้ำถึงไหนให้เอาตรงนั้นเป็นของหลวง..หน้าตาเฉยเลย ..!!" ถ้าผมยอม ที่จะหายไปเกือบสิบตารางวา คิดเป็นเงินประมาณ สามแสน และผลประโยชน์การใช้ที่ดินหายไปอีกละ
  เอ้า..!!มาเล่นประเด็นน้ำอยู่ไหนเอาที่ถึงนั่น ผมมาเจอคนหาผลประโยชน์ให้หลวงตัวจริงเข้าแล้ว...ผมเลยว่าให้ไปว่า แต่เดิมดินตรงหมดนั่นนะมันก็สูงเท่าข้างบนคันนี่นั่นแหละ แต่พวกคุณเอาเรือขุดดินข้างล่างจนดินมันเลื่อนลงมา พาหมุดจมน้ำหายไปด้วย พวกคุณรังแกชาวบ้าน นี่ถ้าสมมุติพวกคุณเอาเรือมาขุดโดยไม่บอกชาวบ้าน แล้วที่ห่างไกลเป็นป่าเป็นเขาชาวบ้านไม่รู้เรื่อง คุณแกล้งขุดให้น้ำมันเข้ามาในที่ พอวันไหนเขาขอรังวัด พวกคุณก็มาลักไก่เอากฎนี่มาอ้าง เพื่อเข้าเอายึดที่ชาวบ้านมาให้หลวง แบบนี้มันรังแกขาวบ้านนะ นี่ข้อที่ 1
  ส่วนข้อที่ 2 ผมถามไปว่า ที่คุณว่าน้ำถึงไหนเอาที่ถึงนั่นนะ ทำไมมันต้องเป็นบนคันข้างบนโน่น ซึ่งห่างจากหมุดตั้งสี่เมตร เขาตอบว่า ก็เวลาน้ำเยอะน้ำมันจะสูงถึงนั่น ผมเลยถามต่อไปว่า คุณเอาอะไรเป็นเกณฑ์มาตรฐานระดับน้ำที่จะยึดที่ผม.??เขาบอกว่าก็ดูน้ำทุกปีที่มันสูงประมาณตรงนั้น ผมพูดต่อว่า แล้วถ้าคุณประเมินด้วยความคิดส่วนตัวว่าน้ำมันจะสูงถึงถนนละ คุณไม่เลื่อนหมุดไปถึงถนน คือที่ผมหายหมดเลยละ..? เขามองหน้าผมตอบอะไรไม่ได้ได้แต่เงียบ ผมพูดต่อว่า แบบนี้มันไม่มาตรฐานและรังแกชาวบ้าน เขาบอกว่ายังงัยก็ต้องทำใจ ผมถามต่อว่าแล้วที่เกิดแบบนี้กับคนอื่นละ..??เขาตอบว่า ที่ผ่านมาก็ยอมหมด ผมตอบไปว่า..ยังงัยผมก็ทำใจไม่ได้เพราะผมไม่ได้ผิดอะไร เป็นความผิดของหลวงที่ทำงานพลาด หรือจงใจก็ไม่ทราบ
   ข้อสุดท้าย ที่ผมพูดคือ..ถ้าคุณว่าน้ำถึงไหนเอาที่ถึงนั่น ก็ตอนนี้เห็นชัดๆ ว่าน้ำยังไม่ถึงหมุดเลย ห่างอีกประมาณ ครึ่งเมตร แบบนี้ผมน่าจะได้ที่ถึงนั่นเลยนะ แต่ผมขอแค่ที่เครื่องมันบอกตามสิทธิ์ของผมก็พอแล้วคุณจะเอาที่ถึงข้างบนคั่นโน่นทั้งๆที่น้ำยังไม่ถึงหมุดเลย แบบนี้เขาเรียกว่ารู้มากเอาเปรียบชาวบ้าน
  สุดท้ายต้องเรียกกำนันมาตัดสิน รออยู่ครึ่ง ชม.กำนันมาถึง เห็นหน้าปุ๊ปก็ยิ้มเลย ก็มานั่งกินเหล้าเล่นไพ่ที่บ้านทุกวัน ทั้ง นายก อบต. ตำรวจ  ฯลฯ แกตัดสินเลยว่าคืนให้ผม ยึดเขาไม้ได้ ..จบ..!!"
   พอกำนันกลับไปแล้ว ผมคุยกับ จนท.คนนี้ว่า ผมคิดในใจไว้ว่าเรื่องนี้ถ้าจะถูกฮุบเอาที่แบบนี้ ผมยอมยุติการรังวัด และจะถ่ายรูป พร้อมเก็บข้อมูลทั้งหมดพร้อมรายละเอียดการพูดคุย ขึ้นฟ้องศาล ฐานทำให้ผมเสียหายทางธุรกิจ ทำงานต่อไม่ได้ และฟ้องคุณคนแรกในฐานะตัวแทนส่วนราชการที่ส่งมา และถ้าผมชนะผมจะร้องเรียนส่วนตัวคุณด้วย ในฐานะใช้การพิจารณาปัญหาของผมส่วนตัวแบบไม่มีมาตรฐานและไม่เป็นธรรม ทำให้ผมเสียหาย เสียเวลา และเสียโอกาสทำมาหากิน ...แกเงียบไปเลย..
   กลับมาบ้านเจอพี่กำนันมาที่บ้านแกบอกว่าไอ้หมอนี่ชอบทำแบบนี้ประจำ ไม่รู้มันจะรักหลวงมากมายขนาดยอมเอาเปรียบชาวบ้านแบบนี้..ให้ชาวย้าเกียจขี้หน้า
    ปิดท้ายเรื่องนี้ เป็นอุทาหรณ์ครับ ใครที่มีที่ติดน้ำ ให้คอยเฝ้าดูว่าตลิ่งพังไปบ้างไหม อย่าให้ดินหายไป ถ้าหายต้องคอยเอามาเติม เพราะถ้าเราขอรังวัดเมื่อไหร่เขาจะเล่นวิธีนี้ ใครที่ปล่อยที่ไว้นานๆจนโดนน้ำซัดไปเยอะ มีตังค์ก็รีบเติมให้เต็มแล้วทำเขื่อนกันดินไว้ ไม่งั้นมีสิทธิ์ เรื้อที่ที่เหลือไม่เท่าเดิมครับ  เรื่องนี้เคยได้ยินมาแล้วมีอยู่หกไร่ในโฉนด รังวัดเสร็จโฉนดใหม่ออกมาเหลือแค่สามไร่ งงไปเลยครับ..เซ็นยอมรับตอนรังวัดไปแล้วด้วย..
  หรืออยากรู้ว่าที่หายไปเท่าไหร่ หมุดเดิมอยู่ไหน ก่อนรังวัดจริง แนะนำให้แอบจ้างรังวัดเอกชนมาวัดให้ดูก่อน ก่อนจะเสียท่าให้หลวง ...pjmong..
    

วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2560

้รื่องจากประสบการณ์

  ขอเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริงอีกสักเรื่องนะครับ ....เก็บตกจากห้องน้ำเรื่องที่สอง เรื่องแรกเรื่องป้ายในห้องน้ำ
  เมื่อวานได้เข้าไปใช้บริการห้องน้ำบ้านหลังนึง  เห็นโถส้วมแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้เลยถ่ายรูปให้ดูครับ เลยคิดถึงเหตุการณ์หนึ่งตอนทำหมู่บ้านขาย....ที่บ้านหลังหนึ่งในโครงการ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ช่างของเรากำลังติดตั้งสุขภัณฑ์ คือโถส้วม(...เรื่องส้วมอีกแล้ว..!!!!) ผมเข้าไปเห็นช่างก็ติดตั้งสายชำระเสร็จเรียบร้อย ยืนดูอยู่สักพัก เห็นอะไรบางอย่างมันขัดตา ขัดความรู้สึกพิกล เลยถามไปว่า ทำไมติดตั้งหัวฉีดสายชำระ ไว้ทางซ้าย?? ช่างบอกว่าผนังมันอยู่ด้านซ้าย ผมถามต่อว่าแล้วทำไม่ติดที่ผนังด้านหลังมาทางขวามือของคนนั่งละ? ก็ยังดีกว่านะ..เขาก็ยังว่าตรงนี้สวยที่สุดแล้ว ใกล้มือ ไม่เกะกะ ห้วเป็นหน้าช่างเสียด้วยดิ มั่นใจมากเลย...
ผมเลยอธิบายให้ฟังแบบนี้ครับ..คนทั่วไปส่วนมากถนัดขวา จะใช้มือขวาที่แข็งแรงกว่าในการบีบก้านสปริง ของหัวฉีด แล้วมือซ้ายใช้ทำความสะอาดตัวเอง จะข้างหน้าหรือข้างหลังก็ช่างเถอะ แล้วนึกอะไรออกหรือยัง..??คิดตามไปนะ...!! ทีนี้พอเราจะต้องล้าง....ของเรา ถ้าห้วสายมันอยู่ซ้ายมือ ก็ต้องใช้มือซ้ายหยิบส่งให้มือขวา ขามาตอนนี้ไม่มีอะไร ธรรมดาๆ เมื่อมือขวารับแล้วสองมือก็ช่วยทำหน้าที่ ขวาฉีด ซ้ายล้าง...เมือจบ...หัวฉีดที่อยู่มือขวาก็ส่งคืนให้มือซ้ายเอาไปแขวนเก็บ มือซ้ายรับก็เอาไปแขวน...จบ...!!!
  ยังครับ..!!ยังไม่จบ นึกภาพต่อนะ สิ่งที่ใช้มือซ้ายไปล้างนะมันอะไร ของหนักหรือของเบา ล้างเสร็จมันอาจจะยังมีติดมือซ้ายอยู่บ้างหรือจะมีแต่น้ำก็เถอะ มือซ้ายยังเปียกอยู่เลย ใช้รับหัวฉีดจากมือขวามาเอาไปแขวน แปลว่า...หัวฉีดอันนั้นก็เริ่มปนเปื้อน จากคนแรกแล้ว....ต่อมาคนที่ 2..3..4..ตลอดทั้งวัน ที่หัวฉีดนั่นคงเต็มไปด้วยสิ่งปนเปื้อนที่ทับกันไปเรื่อยๆ จากคนแรกทับๆกันมา แล้วเชื่อได้มากที่รับรองได้เลยว่า หัวสายนี่ไม่มีแม่บ้านคนไหนเอาน้ำยามาล้างประจำวันแน่นอน ...คิดแล้วขนลุกไหม ทุกครั้งที่หยิบหัวสายชำระ ไม่รู้เราหยิบจับอะไรของใครบ้างที่ใช้มาก่อนหน้าเรา..
    ผมเล่าให้ฟังนี่ อยากให้รู้จากประสบการณ์จริง ถ้าผิดถูกยังงัยก็ขออภัยท่านผู้รู้ด้วยนะครับ ดังนั้นบ้านของคนไหนเป็นแบบนี้อยู่จะได้รู้และใครอ่านก็ข้อมูลเอาไปใช้ครับ ถ้ากำลังปลูกบ้านอย่าลืมดูเรื่องนี้นะครับ..pjmong..

ฟังครู pjmong เล่ามา ..episode 1

  สวัสดั
  เนื่องจาก ได้เรียนลีบาศจากครู pjmong มาได้ระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากตัวแอ็คเองมีเวลาเรียนน้อยมาก 7 วันได้เรียนประมาณ 4 ชม. เวลามีเวลาครูก็สอน ..เรียก