วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

การดำเนินชีวิต ตามปรัชญา """พอเพียง"""

  คำว่า ""พอเพียง"" ฟังดู BASIC มากๆ ธรรมดาๆ แต่ความหมาย ลึกซึ้งมากมาย เกินกว่าคนธรรมดาที่ไม่ศึกษา หรือลองนำมาใช้ ก็ยากเกินกว่าจะเข้าใจ และนำมาบริหารชีวิตตัวเอง พูดไปก็เหมือนกับ คำพูดที่ว่า
""ใครดูแลเกื้อกูลพ่อแม่ได้ดี จะส่งผลให้ชีวิตพบแต่สิ่งดีๆ เจริญก้าวหน้า ""เรื่องนี้หลายคนสงสัยว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน พ่อแม่มีเวทมนต์เสกให้ลูกหลานร่ำรวยได้หรือ.??เปล่าเลย ..เรื่องนี้หาเหตุผลไม่ได้ แต่เชื่อเถอะว่าเกิน 90% เป็นแบบนั้นจริง  ซึ่งถ้าจะหาเหตุผลมาอธิบายคงจะยาวเกิน
   ใครจะเชื่อว่า คนไทยคนหนึ่ง จะสามารถคิดเรื่องนี้ ศึกษาเรื่องนี้จนแตกฉานลึกซึ้ง จากเรื่องธรรมดาๆ  มาเป็นทฤษฎี เป็นหลักการ จนสุดท้าย กลายมาเป็นปรัญา..."".ปรัญาเศรษกิจพอเพียง..""
  และก็คนไทยคนนั้นก็คือ ในหลวงในรัชการทค่ 9 ของเรานี่เอง ซึ่งพระองค์ท่านไปสุเยอดของผู้ชำนาญการเกือบทุกสาขาวิชา นักวิทยาศาสตร์ นักดนตรี นักปรัชญา นักวัศวกรนมชลประทาน นักประดิษฐ์ นักประพันธ์ นักพัตนา  ....ฯลฯ นี่คือสุดยอดมนุษย์ คนเดียวที่เราและทั่วโลกรู้จัก ท่านสามารถนำเอาเรื่องธรรมดาๆ ที่อยู่ใกล้เราทุกคน ที่หยิบฉวยเอามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เอามาประยุกต์ หาความจริง ใส่หลักการเข้าไป จนกลายเป็นปรัชญา ที่มีคุณค่ามหาศาล ใครหรือประเทศไหน น้อมนำไปศึกษาจริงจัง แล้วนำไปปฎิบัติ จะให้คุณมหาศาล แก่บุคลนั้น หรือประเทศนั้นๆ
   เป็นที่น่าเสียดายที่ เราประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นข้ารองพระบาทพระองค์ท่านโดยตรง กลับมีความเข้าใจในเรื่องนี้น้อยมาก แม้แต่ภาครัฐบาลก็ยัง ใช้เวลาบนสื่อ เน้นแต่เรื่องที่น้อมนำไปปฎิบัติทางเกษตรเพียงอย่างเดียว จนประชาชนคนไทยที่ไม่เข้าใจลึกซึ้งเรื่องนี้ เข้าใจไปว่า ปรัชญาเศรษกิจพอเพียง ของพระองค์ท่านใช้ได้เฉพาะในแวดวงเกษตรเท่านั้น
   ความจริงแล้ว ปรัชญาทฤษฎีของความพอเพียงนี้ สามารถใช้ได้ในทุกสาขาวิชาชีพ เพราะหลักการสำคัญของปรัชญานี้เน้นเรืีองลดความสิ้นเปลือง งดใช้ของให้เหลือ วางแผนใช้เท่าที่พอดี .....พอดี บนความพอใจ....
   ...พอดีบนความพอใจ...คำนี้มีความหมายมากๆ เพราะแฝงด้วย ความหมายที่มีค่าสูงยิ่ง และถ้าใครเข้าใจ และสามารถนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ จะมีความสุขกาย สุขใจ เงินเหลือในกระเป๋าเยอะ...ยังไงหรือ..??? เรามาลองว่ากัน..
   สมมุติว่าคนสองคินหิวข้าวเท่าๆกัน เข้าร้านอาหารพร้อมกัน คนหนึ่งคิดว่าสำหรับตัวเองแล้ว ข้าวหนึ่งจากับข้าวหนึ่งอย่าง คือพอดีและพอใจแล้ว ส่วนอีกคน พอดีและพอใจของเขาคือ ข้าวสองจาน กับข้าวห้าอย่าง  ทั้งสองเมื่อกินเสร็จ คนแรกทานอิ่มท้องอาหารหมดพอดี ส่วนคนที่สองเหลือข้าวหนึ่งชาม กับข้าวทานหมดสองอย่างเหลือสามอย่าง จะเห็นว่าคนที่สองนี้ พอใจแต่ไม่พอดี จึงไม่เข้าหลักทฤษฎีพอเพียง สิ่งที่ตามมาคือ อาหารเหลือทิ้ง เป็นขยะให้สังคม ระบบน้ำเสีย สิ้นเปลืองทรัพยากรณ์ ทั้งวัตถุดิบและแรงงานจัดการ ถ้าลองนึกภาพดูว่า ถ้าคนหนึ่งล้านคนทำแบบบริโภคอาหารแบบพอใจแต่ไม่พอดี มีของเหลือ ในส่วนที่เหลือทั้งทรัพยากรณ์ที่ก่อนนำไปบริโภค และค่าใช้จ่าย แรงงาน ที่ต้องใช้จัดการของที่เหลือ จะมากมายขนาดไหนในอาหารหนึ่งมื้อ  นี่แค่ยกตัวอย่างการกินอาหารแค่หนึ่งมื้อด้วยคนล้านคนกับความคิดแบบพอเพียง นะ ถ้าคิดคนทั้งโลกด้วยอาหารทุกมื้อ รวมทั้งมื้อพิเศษที่กินกันตามวาระพิเศษ แบบไม่หิวก็ต้องกินอีกเท่าไหร่ มันจะมีขยะให้เป็นปัญหาตามมาอีกมากมายแค่ไหน..??? และนี่แค่เรื่องอาหารอย่างเดียวนะ มีอะไรอีกมากมายแค่ไหน ที่เราเสพ เราบริโภค ที่เกินพอดี ด้วยเหจุผลต่างๆมากมาย อวดรวย อวดฟู่ฟ่า อวดมั่งอวดมี เพื้อความบันเทิง เพื่อ..อะไรมิอะไรอีกมากมาย เสื้อผ้า รองเท้า ของใช้ ที่อยู่อาศัย ฟอนิเจอร์ เครื่องประดับ ...มากมายแค่ไหนที่ผู้บริโภคพยายามสรรหามาเสพ ทำให้ผู้ผลิตไล่แย่งสัตถุดิบที่กำลังจะหมดไปทุกที สัตว์ในทะเล สัตว์ป่า ต้นหมากรากไม้ พลังงาน อิฐ หิน ปูน ทราย หรือแม้กระทั่งดินที่เราเกยียบอยู่ ก็ยังพยายามเอามาดัดแปลง เพื่อตอบสนองส่งนเกินของมนุษย์เรามากมาย
  มาคิดอีกที ถึงความเป็นอัจริยะของพระองค์ท่าน ..เมื่อบางคนคิดผิด คำนวนผิด ว่าความพอดีของตัวเองมีแค่ไหน จนเหลือทิ้ง ท่านก็ให้คำนิยามไว้อีกว่า .....เหลือก็แบ่งปัน...ซึ่งส่วนที่เหลือของเราที่ไม่ใช้ประโยชน์แล้วอาจจะเป็นส่วนที่พอดีสำหรับคนอื่นที่เราแบ่งปันไป คนๆนั้นก็ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋าจ่าย ประหยัดไปอีกครั้ง ครบแล้วนะครับ สูตรสำเร็จของปรัชญาพอเพียง สำหรับผม """...พอดีบนควนมพอใจ  เหลือให้แบ่งปัน...."" ไม่ใช่ประหยัด ขอเน้น เพราะถ้าพอดีแบบประหยัด คืออยากกินอีกและประหยัด นั่นทำให้เกิดความไม่พอใจ จะเกิดทุกข์ ปรัชญาของท่านต้องการให้มีความสุขกับความพอดี
   การจะฝึกการใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้ สิ่งสำคัญต้องเริ่มที่ฝึกความคิดก่อน คือ ต้องฝึกใช้สมาธิให้เป็น เพื่อจะได้ฝึกการใช้ความคิด คำนวน หักห้ามใจฝืนความอยาก ที่เกิดขึ้น ให้ได้ก่อน เรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ เพราะใครดำเนินชีวิตแบบตามใจตัวมานานต้องใช้สมาธิ ฝึกหักห้ามใจ อยากได้อะไรใช้สติยั้งใจก่อนว่า แค่ไหนถึงพอดี เอาแค่นั้น พอใจแค่นั้น ใครเริ่มใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้สักเล็กน้อย เริ่มทีละเรื่อง ค่อยๆฝึกคิด เลือก อยากได้อะไร คิดให้เยอะๆว่าเอามาแล้วคุ้มไหม จำเป็นหรือยัง ที่มีอยู่ยังใช้ได้ไหม?
   เรามาลองคิดดูเล่นๆ สมมุติว่าคนทั้งประเทศ ร่วมใจกันกินปลาทู เท่าที่กินอิ่ม ไม่เผื่อมากจนเหลือ ที่เคยซื้อมาเยอะๆ แล้วเหลือ ก็จะเหลือซื้ิอพออิ่ม เมื่อจับมาเยอะแต่คนซื้อน้อย บริโภคน้อย ขายไม่ได้ต่อไปก็จับน้อยลง ปลาทูจะมีเต็มอ่าวไทย นี่ยกตัวอย่างเพียงเรื่องเดียว แต่ถ้าการบริโภคทุกอย่างของทุกคน ใช้แนวความคิดเดียวกันกับการบริโภค อุปโภค สินค้าทุกประเภท ทรัพยากรณ์ ทุกชนิดในประเทศจะเหลือมากมายไว้ให้ลูกหลายมากมายแค่ไหน และถ้าคนทั้งโลกมีการใช้ชีวิตเหมือนกันแบบนี้ โลกนี้จะสะอาดขึ้น น่าอยู่ขึ้น ทรัพยากรณ์ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต จะเหลือใช้มากมาย เราจะอยู่ร่วมกับสิ่งอื่นกันอย่างมีความสุข
   เราจะไม่เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่บ้านใหญ่ เล็ก แต่งตัวด้วยเสือผ้าที่ต่างกัน เพราะเราจะไม่สนใจและให้ความสำคัญกับวัตถุ หรือเงิน แต่ทุกคนสนใจกับจิตใจที่สบาย พอใจกับสิ่งที่มี อาจจะได้เห็นคนขี่รถกระบะแต่งสูตรไปจอดหน้าโรงแรมหรู เพราะทุกคนมองรถคือยานพาหนะไม่ใช้เครื่ิงมือเสริมบารมีหรือของประดับอีกต่อไป
   ในสภาวะธุรกิจ ถอดถอยแบบนี้ น่าจะถึงเวลาที่รัฐบาล หรือหน่วยงาน  ทั้งภาครัฐและเอกชน น่าจะน้อมนำปรัซญาของพระองค์ท่าน มาตีความให้ชัดเจนและรณรงค์ให้ ประชาชนหันมาสนใจ ให้จริงจัง ทุกสาขาอาชีพไม่ต้องหวังให้ได้ทุกคน ขอแค่ค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ รณรงค์อย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่เป็นผู้นำ เป็นไอดอลของคนทั่วไป ที่พบเห็นบนสื่อสังคมบ่อยๆ เช่นนักการเมือง นักร้องนักแสดง ก็น่าจะเลิกเปิดบ้านตัวเองที่แสดงถึงความร่ำรวย ความฟุ่มเฟื่อย เช่นรองเท้าเป็นร้อยเป็นพันคู่ เสื้อผ้าต้องสร้างบ้านอีกหลังเพื่อเก็บ
     หวังไว้สักวันหนึ่งว่า ระบอบการปกครองที่เคยทดลองใช้มาหมดแล้ว ตั้งแต่ยุคเก่า มีพระมหากษัตริย์ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ หรือมาจนถึงประชาธิปไตยแบบวัตถุ(เงิน)นิยม อาจจะหันมาลองหยิบแนวความคิดแบบพอเพียงมาเป็นระบอบการปกครอง แบบ ..""ประชาธิปไตยแบบพอเพียง..""  ถึงวันนั้น ปรัชญาเศรษกิจพอเพียง ที่รู้จักกันเฉพาะในประเทศไทย อาจจะขยับกันเป็น ระบบการปกครอง  แบบประชาธิปไตยแบยพอเพียง บางก็ได้ ถ้ามีวันนั้นจริง พระองค์ท่านจะกลายเป็นบุคลสำคัญทางประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้....pjmong

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น