....ยาวสักหน่อยแต่มีประโยชน์นะครับ...
สวัสดีครับ เพื่อนๆสมาชิก วันนี้ว่างแป๊บนึง เลยอยากเล่าประสบการณ์จริงให้ฟังสักเรื่อง คือ....
เมื่อวันจันทร์ 14 สค.ที่ผ่านมาเป็นวันหยุดชดเชยวันแม่ ผมต้องเดินทางไปทำธุระที่จันท์ ก็ตั้งใจไปจัดการงานให้เสร็จก่อนบ่ายสองเพื่อได้ขับรถกลับ กทม.ไม่ทันมืดเพราะกลัวนิสัยชอบขับรถหลับในของตัวเอง แต่เนื่องจากจัดการเอกสารไม่เสร็จ กว่าจะเสร็จออกเดินทางได้ก็เกือบทุ่ม
คราวนี้ก็ตาเหลือกละซิ..!! กลัวง่วงกลางทาง ต้องอยู่บนถนนให้น้อยที่สุด ก็แปลว่าขับรถให้ถึงปลายทางเร็วที่สุด อีกใจนึงก็หงุดหงิดกับกฎหมายควบคุมความเร็ว ว่าไอ้คนออกกฎมันจะรู้ไหมนะว่าขับรถยิ่งช้ายิ่งง่วงง่ายอะ..? มันคงไม่รู้หรอกเพราะชีวิตอย่างพวกมันเป็นคนระดับบริหาร มีคนขับรถอยู่แล้ว มันง่วงมันก็หลับ แต่คนระดับกลางๆอย่างเราๆต้องขับรถเอง เสี่ยงตายเองบนถนน
ว่าแล้วก็กดซะ 140-160 กับรถฟอร์จูนเนอร์ ที่ความเร็วขนาดนี้ เจอไฟแดงตรงนายายอามเบรคไม่อยู่ก็ครั้งที่หนึ่งแระ จำเป็นต้องเลยตามเลย ฝ่าไฟแดงด้วยการบีบแตร ทริกไฟสูงทำเหมือนมีธุระด่วน ยังกับมีคนป่วยหนักอยู่ในรถซะงั้น...!!! กลัวจะมีคนวิ่งตัดหน้า แล้วก็ยังไม่เข็ด ลุยต่อด้วยความเร็วเฉลี่ยขนาดนี้ตลอดเส้นทางแบบไม่กลัวกล้องเพราะคิดว่ากลางคืนกล้องคงจับไม่เห็น หรือไม่ก็กล้องคงจะต้องปิดพักผ่อนเหมือนคน ..คิดได้งัยก็ไม่รู้...?? คนมันจะทำอะไรผิดมันก็หาข้อแก้ตัวมาสนับสนุนอย่างนี้แหละ ความจริงน่าจะเรียกว่าหาเรื่องไปตายซะมากกว่่า....
จนมาถึงเลยแถววังจันทร์ค่อนไปถึงบ้านบึง ประมาณน่าจะสองทุ่มแระ ที่จุด U-Turn จุดนึง รถเรามาด้วยความเร็วอย่างว่า มืดก็มืด รถวิ่งจะถึง U-Turn อยู่แล้ว พลันสายตาก็เห็นรถพ่วงคันนึง ค่อยๆวิ่งออกจากจุดเลี้ยว เธอเคลื่อนที่แบบเรียบร้อย ค่อยๆเคลื่อนแบบใจเย็น ซึ่งมันอาจจะปรกติของเขาแต่มันคงช้ามากๆสำหรับเราตอนนั้นละมั้ง ณ.วินาทีนั้นขนหัวลุกแล้ว ความเร็วขนาดนั้น กับความช้าขนาดนี้ เห็นหน้ายมทูตยืนรออยู่เลย ผมเหยียบเบรคทันที แบบว่ากดมิดไม่มีปล่อย ออกแรงบีบพวงมาลัยเท่าที่มีตอนนั้น กล้ามเนื้อทั้งแขน กำลังที่ลำแขนแข็งแรงเท่าที่เรามีทั้งหมดงัดเอามาสู้กับแรงบิดเมื่อรถถูกเบรกแรงและกระทันหันขนาดนั้น รวมทั้ง นน.รถใหญ่แบบรถ SUV อย่างฟอร์จูนเนอร์ คนที่เคยเจอสถานการแบบนี้จะรู้ว่า รถจะถูกแรงดึงให้เปลี่ยนทิศทางกระทันหันจากการเบรกเร็วและแรง ถ้าคนขับสู้กับแรงสบัดของพวงมาลัยไม่ได้และถ้ารถมี นน.เบารถจะสบัดและพลิกคว่ำทันที อย่างที่เห็นบ่อยๆในหนัง
ผมก็เจอสถานการณ์แบบนั้น รู้สึกเลยว่าขณะที่รถเราพุ่งเข้าหารถพ่วงคันนั้นด้วยความเร็ว แล้วเท้าเราเหยียบเบรกแบบสุดแรงตลอดทาง พวงมาลัยมันมีแรงบิดมากระทำมากขนาดไหน ต้องสู้กับมันให้รถไม่สบัด ส่วนตาก็จ้องมองไปข้างหน้าเห็นแต่ด้านข้างรถพ่วงที่มันใกล้เข้ามาทุกทีๆ บอกอารมณ์ตอนนั้นได้เลยว่า ไอ้ที่เราเห็นในข่าวรถชนกันเละกลางถนนคนตายคารถนะ ก่อนจะชนคนขับคิดอะไรบ้าง รู้ได้เลยว่าที่เขาว่า ชาตินี้กับชาติหน้าที่มันห่างกันแค่ห้าวินาทีนะมันเป็นยังงัย ..?? ห้าวินาทีคิดอะไรได้มากมาย..ครอบครับ คนรอบตัวที่เราเป็นห่วง สิงศักดิ์สิทธิ์ที่เราพอจะรู้จัก ตายแล้วเราจะไปไหนสงสัยมานานคงได้รู้จริงด้วยตัวเองก็คราวนี้แหละ.....!!!
เท้าที่กดเบรกเต็มที่ไม่มีวันปล่อยแน่ๆจนกว่ามันจะชนนั่นแหละ มือกำพวงมาลัยแน่น แขนเกร็งสู้กับแรงบิดที่เกิดที่ล้อ สมองคิดอะไรมากมายก็ยังอุตส่าห์มีเวลาเหลือแว็ปนึงคิดแผนสองว่า ถ้าเอาไม่อยู่จริงๆ ตอนรถเข้าปะทะกะว่าจะยอมหักพวงมาลัยขวาทันทีเอาท้ายรถเข้าปะทะก่อน แล้วแรงกระแทกอาจเอาส่วนห้วรถที่เรานั่งขับอยู่เข้ากระแทกอีกที อาจจะเบาลงก็ได้ โชคดีมากๆที่ตอนนั้นขับมาคนเดียวไม่มีใครให้เราต้องห่วงว่าเอาส่วนนั้นส่วนนี้เข้าปะทะแล้วเรารอดคนอื่นอาจแย่แทน
ตอนเราเห็นรถพ่วงเริ่มเลี้ยวนั่นเราก็กะจะช้อนด้านท้ายรถพ่วงด้วยการวิ่งเข้าเลนซ์ขวากะว่ารถพ่วงเลี้ยวไปอาจจะมีช่องว่างให้เราลอดผ่านไปได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะช้าและไม่ทันมีช่องให้ แต่ก็ถือว่าโชคดีระดับแรกที่เราตัดสินใจเข้าเลนซ์ขวา เพราะการตัดสินใจเข้าเลนซ์ขวานี่คือการตัดสินใจที่เป็นปฐมเหตุให้เรารอดตายมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกัน
คือ...เหลือระยะทางอีกแค่สักสิบเมตรเห็นจะได้จะเข้าปะทะ รถถูกเบรคก็ยังไม่ยอมหยุด ...จะด้วยปาฐิหารย์ ด้วยแม่ย่านางรถที่เรานับถือกราบไหว้ หรือจะด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราอาราธนาให้ปกป้องคุ้มครองชิวิตและทรัพย์สิน ของเราและบริวารที่ติดตามก่อนเดินทางไกลทุกครั้ง หรือจะเป็นเพราะไหวพริบของเราเองก็ตามซึ่งข้อนี้ผมขอให้คะแนนต่ำสุดก็แล้วกันเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีไหวพริบเก่งขนาดนั้น .......พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นจุด U-TURN ที่เจ้ารถพ่วงคันเนียะมันขับออกมานี่แหละที่อยู่เยื้องไปข้างหน้าทางขวา สิ่งที่ผมเห็นก็คือ รถเก๋งสีขาวรอกลับรถต่อ มีมอไซด์คันนึงอยู่ข้างหลังหนึ่งคัน ส่วนจุด U-TUTNด้านฝั่งเราที่จะไปฝั่งโน้นมีรถเก๋งสีขาวอยู่คันนึง ที่ผมเห็นชัดจริงๆท่ามกลางความมืดที่ U-TURN นั้นไม่มีไฟถนนให้เลยก็คือ ช่องว่างระหว่างรถเก๋งสองคันนั้น มันคือช่องว่างที่เหมือนชายแดนชาตินี้กับขาติหน้าของผมเลยก็ว่าได้ ต้องเสี่ยงกันหน่อยละ..!!ก็รถมันจะปะทะแล้วมันยังไม่หยุดสักที ขอระยะที่เหลือให้เล่นอีกสัก 10-15 เมตรเนียะลองต่อชีวิตตัวเองดู ตอนนี้ไม่เหลือเวลาให้คิดมากแล้ว ผมค่อยๆบิดพวงมาลัยเข้าหาช่องว่างนั้นเลย เชื่อไหมครับว่าเพราะรถอยู่เลนซ์ขวาอยู่แล้วจึงไม่ต้องหักพวงมาลัยมากซึ่งเสี่ยงกับรถพลิกคว่ำ เสียงเบรกรถมันดังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพราะตลอดที่เหยียบมาผมไม่ได้ยินเสียงเลย คงอยู่ในสภาวะหูอื้อตาลายนะ รถผมจอดสนิทได้คือเลยไปถนนฝั่งตรงข้ามค่อนคัน ตอนนั้นไม่มีรถสวนมา ผมรับดึงเกียร์ถอยหลังเลย เข้าจอดที่จุดพักรถ U-TURNนั่นแหละ ออกมายืนขาสั่นตื่นเต้นกึ่งดีใจอยู่ข้างรถ รู้สึกว่าโลกใบนี้ทำไมมันน่าอยู่ขนาดนี้นะ รักโลกใบนี้ขึ้นอีกมากมาย อยากอยู่ต่อไปอีกนานๆทำประโยชน์ให้คนรอบข้างต่อไปได้อีก...คนขับรถเก๋งทั้งสองคันรวมทั้งมอไซด์เปิดกระจกคุยด้วยว่า นั่งลุ้นดูเหตุการณ์อยู่ในรถตลอด กะว่าโดนแน่ๆแล้ว เตรียมแจ้งกู้ภัยได้เลย เสียงเบรกดังมาแต่ไกล โชคดีจริงๆที่รอดมาได้...ผมยืนขาสั่นรวบรวมสติเข้าที่เข้าทางแล้วค่อยขับรถออกมาแบบคนเคารพกฎอย่างดี วิญญานของคนอวดดี อวดเก่งขับรถเร็ว หายไปจนเดี๋ยวนี้...
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอามาเป็นข้อเตือนใจเพื่อนๆว่า
1.อย่าไปโกรธกฎหมายเลยครับที่ให้วิ่งบนถนนใหญ่ได้ไม่เกิน 120 กม/ชม นะครับ เพราะเขาคำนวนให้มาดีแล้วว่า ให้รถวิ่งได้เร็วขนาดไหนแพงขนาดไหน สมถะภาพของคนธรรมดาๆอย่างเราๆ ที่ความเร็วรถ 120 เนียะยังพอเอาอยู่ สายตายังเห็นทัน ปฎิกริยาตอบโต้ยังแก้ไขอะไรทัน และแรงเฉื่อย(momentum)ของรถยังเอาไหว แต่ถ้าระดับนักแข่งก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ หรืออย่างน้อยกลับบ้านก็วางใจได้ว่าไม่มี จม.จากตำรวจแห่งชาติตามมาให้ไปเสียค่าปรับฐานขับรถเร็วกว่ากำหนด
2.ก่อนออกจากบ้านก็เชื่อสักนิดนะครับว่าสิงศักดิ์สิทธิ์มีจริง กราบไหว้ อาราธนาให้คุ้มครองชีวิต ทรัพย์สินของเราและบริวารทั้งที่ไปกับเราและที่อยู่ที่บ้านขณะที่เราไม่อยู่
3.ความแข็งแรงของร่างกายและความแข็งแรงของสมอง(สมาธิไงครับ..!!) ก็สำคัญมากๆนะครับเมื่อเจอสภาวะแบบนี้
และ 4.ให้ความสำคัญกับเวลาที่อยู่บนรถบรถนนบ้างก็ดีนะครับ เพราะมนุษย์ทำงานสมัยนี้มักให้ความสำคัญของเวลาบนรถน้อย คือ ขับรถให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุดเพราะเวลาบนรถคือความเสียเวลาของทุกคน ทำให้เสียเวลาทำงาน เสียเวลาทำกิจกรรมอื่น เคยสังเกตุไหมว่า ถ้าเราขับรถจากตะวันตกกรุงเทพ(ตลิ่งชัน บางใหญ่)ไปฝั่งตะวันออก(บางนา รามคำแหง) เรามักทำเวลาให้เร็วสุดคือใช้ทางด่วน ต้อวเสียเงินไปเท่าไหร่ประมาณสักสี่ห้าร้อยนะครับ ซึ่งเป็นค่าน้ำมันวิ่งออก ตจว.ไปได้ไกลหลายร้อยกิโลเลยนะเนียะ เงินเดือนคนกรุงเทพเลยหมดไปกับการให้เวลามันน้อยลงนี่แหละ..ที่สำคัญคือยิ่งบดเวลาขับรถลงมากแค่ไหนก็คืออันตรายมากขึ้นแค่นั้น.เป็นปฎิภาคผกผันกันนะครับ..pjmong
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ขับรถความเร็ว 120 นะดีแล้ว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น