'ซื้อบ้านแบบไหน ชีวิตดี'
พูดถึงซื้อบ้าน มันเป็นค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ของชีวิต ..อาจจะหนักกว่ารถด้วยซ้ำ ยกเว้นบางคนที่รถแพงกว่าบ้าน (ซึ่งก็มีเยอะอยู่ โดยเฉพาะ Thailand Only อินดี้ เมืองไทย)
บ้านคือ หนึ่ง ตัวแทนความภูมิใจในความสำเร็จ (กู้สำเร็จ แต่ยังผ่อนไม่สำเร็จ อันนี้ปัญหาใหญ่และยาว เพราะมันหลายสิบปีอยู่ ..คิดง่ายๆ แทบไม่มีใครวางแผนเก็บเงินระยะยาว 30 ปี แต่พอจะกู้ ดันกู้ยาว 30 ปี - งง เบย)
สอง บ้านคือสถานที่แสดงอำนาจ ...พูดง่ายๆ ทั้งสองอย่างนี้มันผิดวัตถุประสงค์ของ คำว่า บ้าน แบบคนละโลกเลย
'บ้าน' จริงๆ ไม่ใช่สถานที่ ..สมัยโบราณเราอยู่ในถ้ำ ย้ายไปย้ายมา ตามแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ..เดี๋ยวนี้มาอยู่ในแท่งปูน ย้ายไปมาตามงานที่ทำ
บ้านจริงๆ คือ 'การเชื่อมต่อ คนที่เราอยู่ด้วยแล้วเรา มั่นใจ พักใจ วางใจ คนนั้นก็คือบ้านนั่นเอง ..แทบไม่เกี่ยวกับสถานที่แต่อย่างใด'
สิ่งที่ต้องคิดในการซื้อบ้าน มีดังนี้
1. 'บ้านต้องอยู่แล้วเย็น' จะให้เย็นต้องไม่เป็นหนี้ หรือ เป็นหนี้เมื่อตัวเองสามารถจ่ายเงินก้อนได้ เพียงแต่เป็นหนี้เพื่อหักภาษี - พูดง่ายๆ คือ ควรซื้อบ้านเมื่อเราสามารถซื้อ
2. 'ทำเลที่ขายต่อง่าย' ทำเลของบ้านคือมูลค่า แต่ตัวบ้านจริงๆ ไม่มีมูลค่า ดังนั้น ใส่เงินกับทำเลที่เราสามารถขายต่อง่าย ..ทำเลที่มี Supply จำกัด แต่ Demand โตเรื่อยๆ ..ทำเลที่เติบโตทางเศรษฐกิจและทำมาหากินคล่อง
3. 'ไม่เลือกบ้านที่สร้างภาระในการเดินทาง' หลายคนเลือกบ้านที่ไกลหน่อย เพราะราคาถูก แต่สุดท้ายคนส่วนใหญ่ก็เลือกแบบนั้น ทำให้เราใช้ชีวิตเช้าก็แย่งเข้าเมือง เย็นก็แย่งออกเมือง เสาร์อาทิตย์ก็แย่งกันกินชานเมือง วันหยุดยาวก็แย่งกันหนีความวุ่นวายไปเจอความวุ่นวายพร้อมกันอีก ..เฮ้อออ!!
4. 'ไม่สร้างบ้านไว้โชว์ใคร' ให้สร้างบ้านหรือซื้อบ้านที่ตอบโจทย์เรา จะทำให้เราอยู่แล้วสบาย ซึ่งดีกว่าอยู่แล้วดูดีแต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจ ?
5. 'บ้านชีวิตชัด' คือบ้านที่ตอบโจทย์ชัดเจน เพียงอย่างเดียว เช่น ใกล้โรงเรียน มีโรงพยาบาลดี ใกล้ย่าน Shopping ติดแม่น้ำ ..แต่ต้องเลือกจุดเด่นให้ชัดเพียงอย่างเดียว เพราะ ถ้าดีทุกอย่าง มันจะแพงโดยไม่จำเป็น
ถ้าบ้านยังไม่โดน 5 ข้อนี้ ก็เช่าอยู่จนกว่ามันจะพร้อม ..เพราะการซื้อบ้านในเวลาไม่พร้อม อาจทำให้
1. เงินขาดมือเสมอจากค่าผ่อนบ้านที่เกินตัว
2. เลือกทำเลบ้านที่ไม่ดี ราคาไม่ขึ้น ขายต่อไม่ได้ ปล่อยเช่าก็ไม่ได้ ก็หมายความว่า 'ติดคุก'
3. ทำเลบ้านแย่ กระทบงานที่ทำ
4. ทำเลบ้านที่ผิด ทำให้ต้องซื้อรถในเวลาที่เราอาจไม่พร้อม เพิ่มภาระในชีวิตอีกปมใหญ่เช่นกัน
5. ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดของบ้าน ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง ทำให้หลายคนไม่เหลือเงินเก็บเลย
การซื้อบ้านเป็นเรื่องดี แต่ก็เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของชีวิต ที่ต้องคิดหลายๆรอบ เพราะการตัดสินใจครั้งนี้มันจะกระทบกับชีวิตครั้งใหญ่ ..คิดให้ดีๆครับ
xxxxxxxxxx
'เปิดร้านค้ายังไงให้ถูกที่สุด' ..วันนี้มาคุยกันสบายๆ กับ ภาววิทย์ #ปั้นธุรกิจติดลมบน
'เดี๋ยวนี้ ทุกคนทำงานเพื่อฝันที่ยิ่งใหญ่ก็คือ สุดท้ายฉันต้องมีธุรกิจส่วนตัวให้จงได้ !!'
ครับ!! เป็นความคิดของคนรุ่นใหม่ที่โอเคนะ แต่สิ่งที่อยากเสริม คือ วิธีทำ ..วางแผนปฏิบัติยังไงให้ไปถึงเป้านั่นล่ะสำคัญที่สุด
เอ้า!! มาวางแผนกัน ..ลองเริ่มตอบคำถามนี้ก่อน
1. มีเงินป่าว ? ...ถ้าตอบว่ามี ก็เก็บเอาไว้ เพราะธุรกิจของคนตัวเล็กต้องเริ่มโดยไม่ใช้เงิน หรือใช้ให้น้อยที่สุด
2. คุณเก่งอะไร ที่คนอื่นยอมจ่ายเงินให้คุณเพื่อทำสิ่งนั้น ? ...ถ้าตอบว่า ขายแรงงาน อันนี้เหนื่อยหน่อย แต่ค่อยๆ ปรับได้ ...แต่ถ้าตอบว่า ขายผลงานจากความสามารถบางอย่าง อันนี้จะเหนื่อยน้อยกว่าคำตอบแรก ..แต่ยังไง ยังมีด่านต่อไปที่ยากกว่า
3. คุณจะเริ่มเมื่อไหร่ ? ...ข้อนี่ ต้องตอบอย่างเดียว คือ 'เริ่มวันนี้ ..' มาเริ่มกันเลย
สมมติ ผมอยากจะเปิดร้าน ..สิ่งแรกที่ต้องมี ไม่ใช่ที่เปิด ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่สินค้า แต่สิ่งแรกที่ค้องมีคือมีลูกค้า !!
อย่าเพิ่งแปลกใจว่า 'จะมีลูกค้าก่อนมีสินค้า และก่อนมีร้านค้าได้อย่างไร' ...ขอบอกว่า นักธุรกิจรุ่นใหม่ เขาสร้างลูกค้าก่อนสร้างอย่างอื่นครับ
'หลักการทำธุรกิจแบบนี้เรียกว่า มีลูกค้าก่อนแล้วค่อยเริ่มลงทุน ..ใช่!! ถ้าทำแบบนี้ มันแทบการันตีไม่เจ๊ง(ปิดประตูแพ้) ดังนั้น ความสำเร็จเลยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ทำธุรกิจวิธีนี้'
หลายคนอาจจะคิดว่า มันใช่ แบบนักพัฒนาอสังหา ที่ขายโครงการก่อนสร้าง ใช่หรือไม่ ...'แม่นแล้ว!!' ยุคนี้คุณต้องทำตรงข้ามคนส่วนใหญ่ ..อย่าเริ่มทำธุรกิจจากการนโน คาดการณ์ว่าลูกค้าต้องการนั่น ต้องการนี่ จากนั้นก็ไปผลิตสินค้า แล้วก็ทำการตลาด เอาไปวางขายตามร้าน เพื่อสุดท้ายเจ๊ง เมื่อรู้ว่าลูกค้าไม่ได้ต้องการซื้อสินค้าอันนี้เลย
ลองดูซิครับ !! ...ระหว่างที่คุณกำลังปั้นธุรกิจในแบบของคุณ ค่อยๆ เริ่มหาลูกค้า ...คุยกับเขา สนิทกับเขา เป็นเพื่อนกับเขา ...ไม่!! คุณต้องไม่พยายามขายของอะไรให้เขา ..คุณต้องเป็นเพื่อนกับเขา
อย่าคิดเปลี่ยนโลก ไม่ต้องคิดใหญ่ เริ่มมันเล็กๆ เริ่มจากความต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตคนรอบข้างทีละเล็กทีละน้อย ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด ก็คือใช้ตัวคุณและสมองคุณนี่แหละ
'ธุรกิจ ก็คือ การแก้ปัญหาให้คน ..ถ้าปัญหานั้น คนยอมจ่ายเงินเพื่อแก้ น้่นคือ ธุรกิจที่ดี ..คนมีปัญหา ก็คือ คนมีโอกาสทางธุรกิจ ..คิดให้ง่าย เริ่มเล็กๆ ..เพื่อนคุณนั่นแหละลูกค้า ..ถ้าคนใกล้ตัวยังไม่ซื้อ -- แล้วใครจะซื้อของเราล่ะ ?'
xxxxxxx
ข้อจำกัดชีวิตที่ขวางทางรวยคุณ ไม่ใช่หนี้ ไม่ใช่เส้นสาย ไม่มีฐานะ แต่มันคือ 'ความคิด' เราเองนั่นแหละ !!
'โรงงานที่ดีต้องไม่มีสินค้าของตัวเอง'
ครับ!! เรากำลังพูดถึง Foxconn ผู้ผลิต iPhone รายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ก่อตั้งโดย มหาเศรษฐีนาม Terry Gou
ถ้าไปถาม Apple เราอาจได้คำตอบที่ตรงข้าม 'บริษัทที่ดีต้องไม่มีโรงงานผลิตสินค้า' ...อ้าว!! แล้วตกลงใครถูกใครผิด แล้วเราควรเดินตามใครถึงจะรุ่งอ่ะ ?
ระหว่างที่สองบริษัทมองอยู่คนละด้านของเหรียญ ก็มีอีกบริษัท ชื่อว่า UBER พูดขึ้นว่า 'ไม่ใช่ทั้งสองคนแหละ ..บริษัทที่ดีต้องไม่มีสินค้าและก็ไม่ต้องมีโรงงาน ..ดูอย่าง UBER ซิ เป็นบริษัทแท๊กซี่รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยไม่ได้เป็นเจ้าของแท๊กซี่สักคัน'
ตกลง เชื่อใครดี ?
ต้องกลับมาถามผู้บริโภค ก็คือลูกค้าที่จ่ายเงิน ลองถามลูกค้าซิครับว่า 'สมมุติคุณจ่ายเงิน 100 บาท คุณจ่ายให้กับอะไร ? ..สัดส่วนเท่าไหร่ ?'
ลูกค้าตอบแบบเบเบ เลยว่า 'ผมไม่สนหรอก ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังสินค้าหรือบริการที่ผมใช้ ..ผมไม่ได้แคร์หรอกที่ Apple จะผลิตเอง หรือ จ้างโรงงานอื่นผลิต และ ผมก็ไม่สนด้วยว่า UBER จะมีแท๊กซี่หรือไม่มี ....ผมสนเพียงอย่างเดียวว่า ถ้าเป็นสินค้าผมต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุดหรือดีมี่สุด ..มันต้องตอบโจทย์ ...ส่วนบริการก็เช่นกัน มันต้องตอบโจทย์ ..ผมต้องการแท๊กซี่ที่ตอบโจทย์ผม ก็แค่นั้น'
'ตอบโจทย์ - ตอบง่ายเนอะ เบื้องหลัง ห้ำหั่นทางธุรกิจแทบหัวแบะ ...ก็ตอบโจทย์ให้ได้ละกัน ...สินค้าและบริการนี่สุดทีน -- แบบนี้ต้องโดน !!!'
ยุคก่อน ลูกค้าเลือกไม่ได้ โดนบังคับ
ยุคนี้ ลูกค้ามีทางเลือกมากกว่าเงินในกระเป๋า สินค้าและบริการที่ขายดียุคนี้ คือ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
ยุคอนาคต ...ผมจะบอกว่า ลูกค้าไม่ได้ต้องการทางเลือก ..ยุคนี้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ดังนั้น ยุคหน้า เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดต่อตัวเองและคนอื่นๆ ไปพร้อมๆกัน
ขอต้อนรับสู่ TRUST Base Economy 'ถ้าฉันไม่เชื่อใจคุณ ฉันจะไม่ยุ่งกับคุณ ไม่ว่าสินค้าคุณจะดีและถูกเพียงใดก็ตามที'
ยุคนี้เริ่มที่ความคิด ...คิด !!
xxxxxxxxxxxxx
'ธุรกิจยุคใหม่ ให้ฟรีก่อนเลย' ..อันนี้ In-trend สุดๆ คือ แนวคิดของ Start-Up ยุคใหม่
ถ้าไปถามคนรุ่นก่อน ทุกคนย่อมบอกว่า 'โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี'
แต่ถ้าคุณไปถาม Google ..เขาจะบอกว่า 'ของฟรีน่ะมี แต่ต้องไปหาคนที่จ่ายแทนคุณ!!'
แต่ถ้าไปถามคนรุ่นใหม่ วันนี้เลย 'ผมก็ถามน้องๆ ที่กำลังจะเรียนจบว่า มีใครอยากทำงานฟรีไหม ?'
อ้าว!! ไม่มี ..ผมกะว่าจะสอนทุกอย่างเกี่ยวกับตลาดหุ้นให้ฟรี ดันไม่มีน้องๆ คนไหนสน !!
'คราวนี้ยกมือกันหลายคน ..บอกจริงป่าวพี่ผมทำงานให้ฟรีๆเลย แลกกับความรู้'
นั่นไง !!
นั่นไง !! ใช่เลย!! ...น้องคนที่พูดว่า จะยอมทำงานให้ฟรีๆ แลกกับความรู้ คนนั้นแหละที่จะมีโอกาสรุ่งในยุคนี้ !!!
...'นายแปลก !! ดังนั้น นายรุ่งแน่ ..วันนี้เพื่อนๆ น้อง ทำงานสนแต่เงินแต่ไม่สนความรู้ในขณะที่น้อง เอาความรู้เป็นที่ตั้ง น้องคิดถูกทางแล้ว !!'
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแว่วมาจากเพื่อนข้างๆว่า 'ก็ไอ้นี่บ้านมันรวยนี่พี่ มันถึงไม่ต้องสนใจว่าจะทำงานได้เงินเท่าไหร่ เพราะยังไงถึงมันไม่ทำงานบ้านมันก็รวยอยู่แล้ว!!'
แป่ว ว ว ว ...ว ....!?!
ผมเริ่มจากเล่าเรื่องความสำเร็จของ Start-Up ที่เริ่มจาก ทำสินค้าและบริการฟรี จากนั้นค่อยคิดเรื่องหาเงินทีหลัง ..เพราะเขาเชื่อว่า อะไรฟรี ขายง่ายกว่า โตเร็วกว่า และ คู่แข่งน้อย ..ใครจะมาแข่ง ทำของฟรี ดังนั้น พวก Start-Up จะต้องเร่งคิดสิ่งที่เปลี่ยนวิถีชีวิตคนให้ดีขึ้น และ ต้องทำให้มันฟรี
อ้าว!! แล้วตกลงใครจ่ายล่ะ ?
'ก็พวก Angels Investor ไง ..พวกคนรวยที่ลงทุนใน Start-Up ไง'
ในเมื่อคุณก็อยากได้ของฟรี ผมก็อยากได้ของฟรี ..นักธุรกิจ Start-Up ก็อยากได้เงินจากนักลงทุนมาลงเพื่อทำธุรกิจให้สามารถแจกของฟรี ..แล้วนักลงทุนเขาจ่ายเงินทำไมล่ะ ?
เอาสมการนี้ไปแกะ แล้วเราจะเข้าใจว่า ธุรกิจของเราจะเริ่มที่ตรงไหน มีอยู่ 3 แบบ คือ
1. เราลงทุน ลูกค้าจ่าย (อันนี้ธุรกิจ Brick & Mortar ทั่วไป ร้านอาหาร ร้านขายของ)
2. เราลงทุน ลูกค้าใช้ฟรี ..ต้องไปหาคนมาช่วยลงทุน (อันนี้ Start-Up ที่เริ่มจากเงินตัวเอง แล้วค่อยหาเงินทุน)
3. เราไม่ลงทุน ลูกค้าใช้ฟรี ..ต้องไปหาคนอื่นมาลงทุนให้ (อันนี้ธุรกิจใน Silicon Valley เลยที่ หาเงินลงทุนได้ถ้ามี Idea)
สรุป เป็นลูกค้าดีกว่าเพราะได้ฟรีทุกแบบ
แต่พอแกะสมการแล้วพบว่า 'ลูกค้าคือผู้บริโภค ได้แต่ของฟรีแต่เสร็จคนอื่นตลอด ??(ลูกค้าคือ เหยื่อหรือปลานั่นเอง)'
..ส่วนนักธุรกิจ กับนักลงทุน ที่คิดช่วยกันเอาของฟรีมาให้เรา เฮ้ย!! ส่วนใหญ่รวย (พวกนี้คือ คนตกปลา)
ผมทิ้งสมการนี้ให้นักศึกษาไปคิดต่อว่า Model ธุรกิจและการใช้ชีวิตจริงๆ เราคือผู้ออกแบบเอง !!
xxxxxxxxxxxx
'จบปริญญา มาเป็นพนักงานเสริฟ' ..นั่นชีวิตภาววิทย์ตอนเรียนจบใหม่ๆเลย
ตอนนั้นผมไม่ใช่จบธรรมดานะ ผมจบเกียรตินิยม ธรรมศาสตร์ แต่คิดยังไงเวลานั้นผมก็ไม่อยากเป็นลูกจ้าง
ช่วงนั้นบอกตรงๆ มองไม่เห็นทาง ว่าจะทำอะไรในชีวิต เพราะมีแค่ปริญญาใบเดียว และก็ประสบการณ์ขายตรงตอนช่วงฝึกงาน -- ทำไรดีฟระ ?
ช่วงนั้นมาลงตัวที่ต้องไปเรียนต่อ ก็เลยได้เริ่มรู้จักอาชีพพนักงานเสริฟในออสเตรเลีย ..ครั้งแรกที่ได้เงินผมดีใจมาก เพราะมันเยอะสำหรับเด็กจบใหม่ คือ ชั่วโมงละ 300 บาท ทำวันละ 5 ชั่วโมง ก็ตกวันละ 1,500 บาท คูณ 30 วันก็อยู่ราวๆ 45,000 บาท ..เออดี!! เยอะกว่าเงินเดือนปริญญาตรีเมืองไทย
ผมใช้เงินประหยัดมาก พยายามไม่ใช้เลย สักพักก็ได้จับเงินแสน ...เข้าใจเลยว่า คนที่พยายามเก็บเงินสร้างตัวมันอารมณ์ไหน
จุดเปลี่ยนมาอยู่ที่ มีประกาศขายร้าน ซึ่งผมมองว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนให้ผมสร้างตัวได้ ..นั่นก็คือ จุดที่ผมตัดสินใจซื้อร้านอาหารต่อจากคนเดิม โดยจ่ายเพียงบางส่วนและขอให้เจ้าของร้านเดิมเป็นหุ้นส่วน
สิ่งที่ผมอยากจะเล่าคือ ทุกชีวิตมันมีเส้นทาง และโอกาสที่ไม่เหมือนกัน ..ช่วงแรกๆ ของชีวิตเราเลือกไม่ได้มาก เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราก็ต้องคว้าโอกาสตรงหน้าแล้วทำให้ดีที่สุด
แต่แล้วสุดท้าย ผมก็ไม่ได้ทำร้านอาหารต่อ กลับมาทำงานสายการเงินการลงทุน ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าผมจะมาทำงานแนวนี้
มีน้องๆ หลายคนถามผมว่า แล้วคนเราจะเจอ Passion ว่า เราเหมาะกับทำอะไร หรือ เราเกิดมาเพื่อทำอะไรถึงจะดีที่สุด ...ผมบอกได้เลยว่า มันไม่มีทางลัด มันคือการเดินทางเรียนรู้ แล้วค้นหาจากช่วงชีวิตที่เราค่อยๆเดิน
ข้อแตกต่างระหว่างคนที่เจอ Passion แล้วทำมันจนกลายเป็นคนที่สำเร็จในสายอาชีพต่างๆ มันเกิดจากเขาคนนั้นไม่หยุดค้นหา และเรียนรู้จากความผิดพลาดระหว่างทาง
คนส่วนใหญ่ที่ยังหา Passion ไม่เจอ ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เก่ง เพียงแต่เขาพอใจในจุดที่เขาเป็นแล้วก็เท่านั้นเอง
หากคุณเป็นค้นนึงที่ยังไม่ถอดใจค้นหา Passion ของตัวเอง ...จะบอกว่าให้สู้ต่อไป ผมเข้าใจคุณ และขอเอาใจช่วยครับ !!
xxxxxxxxxx
'เขา และ เรา' ..ทำไม 'เขา' ดี ..แต่เราแย่ ...เขามีเงิน แต่เรามีแต่หนี้ ..เขาน่าอิจฉา เขาน่าหมั่นไส้ !!
- ว่าแต่ 'เขา' และ 'เรา' ต่างกันอย่างไร ?
1. งานที่เขาทำ เขาไม่คิดเกษียณจากงานนั้นเลย (แปลว่า หลังอายุ 60 เขาก็ยังทำงานนั้นต่อไป)
..แต่เราตรงข้าม เราอยากรีบๆรวย จะได้เลิกทำงานที่เราต้องทนทำเสียที !!
2. เขาให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าการพักผ่อน เพราะ 'เขาสนุกกับงาน'
..แต่เราตรงข้าม เราทำงานแบบให้เสร็จๆ เพื่อจะได้ไปเตรียมการท่องเที่ยว พักผ่อน !!
3. เขาไม่ค่อยเสียเวลามาโชว์ชีวิตไฮโซ หรือ โชว์ว่าเขาใช้เงินไร้สาระเพียงไหน ..ไม่มานั่งอวดรวย แต่เขาชอบโชว์ผลงานของเขา ..ชอบโชว์ความคิด ..ชอบโชว์งานที่เขาทำ
...แต่เราตรงข้าม เราไม่อยากให้คนอื่นรู้หรอกว่าเราทำอะไร เราแค่อยากโชว์ว่าเราใช้เงินเก่งขนาดไหนให้คนอื่นมองเห็นตัวเราบ้างผ่านสิ่งที่เราจ่ายเงินซื้อมา (โอววว !!)
4. เขามีพัฒนาการเติบโตไปเรื่อยๆ พร้อมงานที่เขาทำ เพราะเขามี Passion มีความรักในงานของเขา จึงเติบโตไม่หยุดยั้ง
...แต่เราแสนจะเบื่องานของเรา แต่ไม่กล้าที่จะเปลี่ยน และก็ไม่เคยคิดว่าจะเปลี่ยนยังไง สุดท้ายเราก็ทนทำงานที่ไม่ชอบไปเรื่อยๆ นั่นแหละ
ใช่!! ไม่ว่าคุณจะอยู่ในอาชีพไหน ถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น ลองเปลี่ยนความคิดในเรื่อง 'งาน' ให้คิดแบบเขาคนนั้นที่เราหมั่นไส้!! ...แล้วชีวิตคุณจะมีความสุขและสำเร็จมากขึ้น
แค่เปลี่ยน มุมมอง เรื่อง 'งาน' ใหม่ ทั้งชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว
ผมลองแล้ว มัน work จริงๆ ..ผมสนุกกับ 'งาน' มากขึ้น ..ผมจมตัวเองอยู่กับสิ่งที่ผมทำเพื่อสร้างผลงานบางอย่างที่ผมมีความสุข ..และสุดท้ายคนอื่นก็เริ่มเห็นคุณค่าตัวเราจากสิ่งที่เราทำ ...สนุกครับ ลองดูซิ
xxxxxxxxxxxx
"เมื่อไหร่ที่การเรียนจะเริ่มไม่คุ้มค่า ?"
คำถามนี้ แรงอ่ะ ..มีด้วยหรือ การเรียนไม่คุ้มค่า ...ก็เห็นวันนี้ ใครๆ ก็พูดว่า การศึกษาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่พ่อแม่จะให้กับลูกได้ ไม่ใช่หรือ ?
"ใช่ครับ" ..แน่นอน การศึกษา คือ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะยกระดับชีวิต และ สร้างความร่ำรวย ความสำเร็จให้แต่ละคน ..ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ที่ใครก็ตามได้โอกาสการเรียนที่สูงกว่า ก็ย่อมมีโอกาสในสังคม การงาน และ หน้าที่ที่ดีกว่า
แต่คำถามที่น่าสนใจกว่านั้น คือ "ความคุ้ม !!" ...อันนี้น่าคิด
ที่ต้องมาคุยเรื่องความคุ้ม เพราะ จริงๆ แล้ว การเรียนก็คือ "การลงทุนประเภทหนึ่ง" เหมือน การลงทุนในหุ้น , การลงทุนในอสังหา , การลงทุนในทอง
..การลงทุนในการศึกษา ก็คือ การลงทุน เพราะ มันเข้ากฏของ Asset คือ
หนึ่ง มนุษย์ต้องการ
สอง มีจำนวนจำกัด
สาม สร้างมูลค่าเพิ่มระยะยาว
พูดง่ายๆ หลัก 3 ข้อ เขาใช้วัดว่า สิ่งใดที่มนุษย์ควรเก็บสะสมแล้วจะรวยขึ้น สิ่งใดไม่ควรสะสม หรือ โยนทิ้งถังขยะไป ก็อยู่ในหลักการดู Asset สามข้อนี้
เรามาดูเรื่อง "การศึกษา" ก่อนว่า เป็นยังไง
ข้อแรก มนุษย์ต้องการ อันนี้แน่นอน ..เพราะ คนมีการศึกษาย่อมมีโอกาสในชีวิต มากกว่าคนที่ไม่เรียน
ข้อที่สอง "จำนวนจำกัด" อันนี้ก็ขึ้นกับสถาบันการศึกษา ถ้าเรียนในที่มีที่นั่งจำกัด คนมีโอกาสเรียนน้อย ย่อมช่วยให้เรามีคุณค่ามากขึ้น
ข้อที่สาม ระยะยาวมูลค่าเพิ่ม อันนี้ก็มาจาก การได้การเรียนที่ดี ก็เป็นการเปิดประตูให้เราได้แสดงฝีมือ ได้เวทีแสดงความรู้ความสามารถ ซึ่งสุดท้ายใครทำได้ดี ก็ย่อมได้รับความสำเร็จ
ปัญหามันอยู่ตรงที่ วันนี้ใครๆ ก็รู้ 3 ข้อนี้ ...ทำให้พ่อแม่ทุกคนลงทุนเรื่องนี้ให้ลูกหนักที่สุด เรียกได้ว่า Demand ความต้องการทะลุฟ้า !!
มาดูฝั่ง Supply คือ จำนวนที่นั่ง ในสถาบันการศึกษา ที่มีจำกัด ..ส่งผลให้ "ราคาค่าเรียนพุ่งทะลุฟ้า ตามความต้องการที่ทะลุฟ้าของพ่อแม่" ..ตรงนี้แหละ ที่ต้องมาวัดจุดคุ้มทุน
มันทำให้ผมย้อนไปสมัยตัวผม ยังเรียนอยู่ ซึ่งสมัยนั้น การ Entrance ติดมหาวิทยาลัยรัฐบาล ย่อมดีกว่า ทำให้ผมต้องหาที่เรียนพิเศษ Tutor ...เกิดเป็น อุตสาหกรรม Tutor ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เพราะ ยุคนั้น Tutor ตอบโจทย์ผม ซึ่งเป็นผู้บริโภค ..ก็สรุปว่าถึงแพง แต่ก็คุ้ม เพราะ ทำให้โอกาสสอบเอนทรานส์ติดมากขึ้น
กลับมาดู เรื่องการศึกษาบ้างว่า วันนี้ที่พ่อแม่หลายคนส่งลูกเรียนอินเตอร์ หรือ ต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เด็กแต่ละคนใช้เงินลงทุนเกือบ 20 - 30 ล้านบาท ...การวัดความคุ้ม ก็ดูว่า เมื่อกลับมาแล้ว โอกาสในชีวิตประตูไหนที่เปิดให้แก่เขา
หลายคนเห็นตัวเลข 20-30 ล้านบาท แล้วจิตตก เพราะ มันสูงเกินเอื้อม !! ..แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ..ผมอยากชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จ หรือ การขึ้นภูเขา ไม่ได้มีทางขึ้นทางเดียว ...ยุคนี้ ทางขึ้นสู่ความสำเร็จ เปิดกว้าง ผมเห็นคนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมาก ที่มาจากเด็กกิจกรรม ..พวกเด็กที่เล่นเก่งกว่าเรียน ยุคนี้ก็มีโอกาส เพียงแต่ต้องรู้จักตัวเอง ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราเก่งกิจกรรม จะไปแข่งในสนามเด็กเรียน ก็คงสู้เขาไม่ได้ ...ต้องเลือกสนามแข่งที่เราถนัดแทน
ใช่!! ผมอยากจะชี้ว่า สนามธุรกิจ Start-Up (ผู้ประกอบการ) และ ตลาดหุ้น ก็เป็นอีกสนาม ที่ไม่ได้สนใจว่าคุณจบอะไรมา ..ไม่จบก็ได้ ...สนามนี้วัดที่ประสบการณ์ ...วัดที่ความเก๋า ..ไอ้ความเก๋าและประสบการณ์ มันคือ จำนวน "รู้งี้" ของแต่ละคน
คนที่ร้องว่า "รู้งี้" มากกว่าคนอื่น ก็คือ มันเจ็บ ล้มเยอะ แล้วลุกขึ้นมามากกว่า ย่อมหมายถึง ประสบการณ์ที่มากขึ้น และนั่นแหละความได้เปรียบในยุคนี้ -- "เจ็บเยอะได้เปรียบกว่า"
"การศึกษาในยุคนี้ ไม่ได้อยู่เฉพาะในห้องเรียน ..ในสนามจริงทั้งธุรกิจและตลาดหุ้น มันเปิดให้คุณกระโดดลงมาเลย เพราะ ถ้าเราเข้าใจว่า ธุรกิจทุกวันนี้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มเงินมาก ..ตลาดหุ้น ก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงินเยอะ ...แค่เข้าใจตรงนี้ คนที่กระโดดเข้ามาเรียนจริง เจ๊งจริง รู้จริงก่อน ก็คือ คนที่ได้เปรียบนั่นเอง"
การเรียนจะคุ้มค่า เมื่อ การเรียนนั้น สอนประสบการณ์ชีวิตของจริงให้คนเรียน ...เพราะ ยุคนี้ไม่ได้วัดกันแค่ความรู้ว่าใครท่องตำราได้เก่งกว่า แต่ยุคนี้วัดกันที่ใครเขียนตำราที่เขียนจากประสบการณ์ของตัวเองได้สนุกกว่ากัน -- ยุคแห่งประสบการณ์มาถึงแล้วครับ ...ลงมือทำก่อน คุ้มกว่า
นี่แหละคุ้มค่าของจริง ...."ลงมือทำ แล้วเรียนจากประสบการณ์ครับ" ..ถ้ากลัวก็มองไปรอบๆ หาเพื่อน เดินไปด้วย ..หนึ่ง คนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย -- เฮ้ย !! เราไปด้วยกันเพื่อน สองคนเพื่อนตาย ...ลุยไป !!
xxxxxxxxxxx
'คนอเมริกาส่วนใหญ่ไม่ได้รวยหรือชีวิตสบายในแบบที่เราคิด !!'
บทความนี้อ่านแล้วน่าตกใจว่า คนอเมริกาทั่วไป 8 ใน 10 คน เป็นหนี้โดยเฉลี่ยคนละ 4 ล้านบาท (บ้าไปแล้ว เพราะมันสูงกว่ารายได้เฉลี่ยต่อปีของคนอเมริกาเกือบ 3 เท่า ซึ่งถ้าหักค่าใช้จ่ายค่ากินอยู่ ก็แปลว่า ทำงานทั้งชาติก็ยังเป็นหนี้ต่อไป ..โคตรเครียด!!)
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือหนี้ส่วนใหญ่ เป็นหนี้ที่กู้มาใช้ ไม่สร้างรายได้ เพราะกู้มาซื้อของ ที่สุดท้ายของนั้นมีแต่ลดมูลค่า พูดภาษาบ้านๆ ก็คือ 'เป็นหนี้เอามาซื้อของที่สุดท้ายกลายเป็นขยะในบ้าน' ....แถมแหล่งเงินกู้หลักคือ บัตรเครดิตซึ่งจ่ายดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี
สรุป ก็คือคนอเมริกาส่วนใหญ่ ชีวิตถูกล่ามโซ่ โดยหนี้เพื่อการบริโภค ซึ่งสุดท้ายจะไม่สามารถจ่ายได้ เพราะดอกเบี้ย 15% ขึ้นไปมันสูงเกินการลงทุนหรือสูงกว่าการโตของรายได้ ดังนั้น ยิ่งเวลาผ่านไป คนอเมริกาจะจมกองหนี้ที่ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วจะยิ่งซวยเมื่อเขาเกษียณ เพราะจะไม่มีรายได้ แต่หนี้ไม่เคยหยุดโต
สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นอีก คือ คนไทย เราก็ไม่ต่างจากอเมริกา
คำถามคือ เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร ? - วันที่หนี้โตเร็วกว่ารายได้ และเป็นแบบนี้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ในระบบทุนนิยม เขาออกแบบระบบหนี้ มาเป็นโซ่ ที่ใช้ควบคุมทาส แทนโซ่ในสมัยโบราณที่ใช้ล่ามทาส ...วันนี้เขาใช้หนี้ในการบังคับให้คนทำงานที่ไม่อยากทำ เพียงเพื่อให้เขาผ่อนใช้หนี้ที่ไม่มีวันหมด
ทางแก้ คือ อย่าสร้างหนี้ ..โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ถ้ามีแล้ว ต้องเคียร์ให้เร็วที่สุด ...อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่า เราถูกล้างสมองให้เป็นนักบริโภคนิยมเพื่อสร้างหนี้เพื่อล่ามโซ่ชีวิตตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว
'ต้องเปลี่ยนวิธีคิด แล้วชีวิตจะเปลี่ยนตาม'
xxxxxxxxxx
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น