'วิธีดูว่า เราจะสำเร็จจากงานที่ทำหรือไม่ ดูง่ายๆ และได้ผลสุดๆเลยคือ
หนึ่ง 'เราทำงานจนลืมตัว' เพราะงานมันสนุกจนเหมือนไม่รู้สึกว่าทำงานอยู่ 'อ้าว!! หมดวันแล้ว ลืมกินข้าวเลย ..บ้าจริงเชียว!!'
สอง 'รู้ตัวตลอดที่ทำงาน' รู้ว่าเซ็ง รู้ว่าเบื่อ นั่งมองเข็มนาฬิกาว่าเมื่อไหร่เวลานรกนี้จะผ่านๆไป จะได้หยุดพักไปเที่ยว ผ่อนคลาย ไปใช้ชีวิตในแบบที่ใจต้องการ
คนที่หนึ่ง คุณอยู่ถูกงาน ถูกที่ ..ทำต่อไป เพราะเดี๋ยวก็สำเร็จ ขอให้เดินหน้าต่อไป แต่อย่าลืมกินข้าว เดี๋ยวโรคกระเพาะจะถามหาก่อนรวย 'ทำต่อไป'
คนที่สอง คุณต้องเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนตัวเอง ก็ต้องเปลี่ยนความคิด หรือไม่ก็เปลี่ยนงาน ..เพราะเส้นทางนี้มันไม่ใช่ทางสู่ความสำเร็จในงาน
สรุป 'หาจุดที่ทำงานแล้วสนุก จนลืมตัวว่า นี่คืองาน ..จุดนี้เรียกทางเดินสู่ความสำเร็จ' ..ลองสำรวจดูซิครับ
'งานคือการอธิบายตัวเรา ผ่านสิ่งที่เราทำ ..นั่นแหละนิยามของงานที่ดี!!'
xxxxxxxxxxx
'เปลี่ยนความอิจฉาเป็นการพัฒนาตัวเอง'
เรื่องนี้น่าสนใจมาก ในมุมที่ผมใช้ Social Media ร่วมกับการทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้สัมผัสการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยโดยสื่อยุคใหม่อย่างชัดเจน
สังเกตไหมว่า
'เรารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเวลาเราดูโพสการใช้ชีวิตของคนอื่นๆ ว่าทำไม เขาได้ใช้ของแพงๆ ดีๆ กินเที่ยวหรูหรา หรือ หลายคนทำไมสำเร็จร่ำรวยในเวลาอันรวดเร็ว ในขณะที่เราแทบไม่มีโอกาสนั้นเลย'
ทางแก้ ที่ผมนำมาใช้คือ
1. 'มองทุกชีวิตใน Social เป็นละครเรื่องนึง' -- เหมือนดูหนังน่ะ ...ให้เรารู้ไว้ว่า ชีวิตจริงกับ ละครที่เราเห็นมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
2. ลองตั้งคำถามในสิ่งที่เห็น สิ่งที่เจอใน Social เป็นมุมในการศึกษาหาความรู้ ..เราจะเรียนรู้จากคนที่สำเร็จเร็ว รวยเร็ว ได้อย่างไร ..เพียงเปลี่ยนความอิจฉา เป็นการตั้งคำถามหาเหตุ เราจะพบว่า เราได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากมัน เช่น เราเห็นคนอายุน้อยสร้างธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน ลองตั้งสิ่งนั้นเป็นโจทย์ แล้วค่อยๆ ตอบว่า 'คนนั้นเขามีปัจจัยสู่ความสำเร็จอะไรบ้าง เขียนออกมาเป็นข้อๆ'
ใช่!! ผมทำแบบนี้ตลอดเวลา มันได้ประโยชน์ไม่แพ้การหาหนังสือดีๆ สักเล่มมาอ่านเลยแหละ
ใช้ Social ให้เกิดประโยชน์ ใช้มันสร้างความรู้ อย่าใช้เพื่อทำลายตัวเอง !!
xxxxxxxxxxxxxxxxx
'นิสัยของเศรษฐีคือการสะสมอะไรบางอย่าง ..ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?'
1. การสะสมอะไรบางอย่างบังคับให้เราต้องรู้จริงในสิ่งนั้น ก่อนที่จะโดนหลอก
2. การสะสม สร้างนิสัยของการออม ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เคยทำได้
3. การสะสม คือการรวมความสนใจให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เราแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ที่สนใจทุกๆสิ่ง
4. การสะสม ทำให้เรารู้เส้นทางเดิน ของสิ่งที่เราสะสม ..'เส้นทางเดิน' นี้คือเส้นทางการค้า และนี่คือส่วนนึงของความรู้ของพ่อค้า
5. การสะสมสร้างพลัง เพราะมันคือการรวมของเรื่องราวและตำนานอะไรบางอย่าง ..สิ่งนี้มีค่าและมีราคาต่อผู้คน
ลองเริ่มสะสมอะไรสักอย่างเพื่อสร้างนิสัยเศรษฐี ..อย่าแค่ซื้อทุกอย่างเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่ไม่เคยสะสมอะไร
ผมเผอิญชอบสะสมหุ้น 'นั่นแหละที่มาของ ออมในหุ้น'
xxxxxxxxxxxxx
'10 สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้'
จงจ่ายเงินของคุณให้กับสิ่งที่เงินซื้อได้ และจงใช้เวลาของคุณไปกับสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
...คำพูดนี้โคตรเท่ห์ เอามาจากเน็ต ผมไม่ได้พูด แต่มันใช่มากๆ เลยไปถามอากู๋ว่า
เฮ้ย!! อะไรครับกู๋ ที่เงินซื้อไม่ได้ ..Search !!
มีดังนี้
1. 'ความรัก' เงินซื้อคนมาอยู่ด้วยได้ แต่ซื้อความรักจากเขาไม่ได้ (คนส่วนใหญ่อยู่กับเรา ตราบที่เรายังให้เงินเขาเท่านั้น)
2. 'ความจริง' เงินอาจจะใช้ปกปิดความจริงได้ชั่วคราว แต่สุดท้ายความจริงจะปรากฏออกมาไม่ว่าเราจะปกปิดมันอย่างไรก็ตาม (โคนันคุง)
3. 'เวลา' เงินซื้อเวลาคนอื่นได้ แต่ซื้อเวลาของเราไม่ได้ ..ทำไมคนส่วนใหญ่จึงขายเวลาทั้งหมดของเราเองแลกเงิน
4. 'ความสุข' เงินซื้อความสนุกได้ แต่ซื้อความสุขไม่ได้ ..หลายคนใช้ชีวิตอย่างสนุกแต่เขาไม่เคยมีความสุขเลย
5. 'สุขภาพ' เงินจ่ายค่าหมอได้ แต่เตียงคนไข้เราต้องนอนเอง ..เราทำงานหนักจนไม่มีเวลาดูแลตัวเองและครอบครัว เพื่อที่เราจะได้นอนเตียงที่ดีที่สุดในโรงพยาบาล ก็เท่านั้นเอง
6. 'การยอมรับ' เอาเงินจ่ายให้คนเห็นด้วยได้ แต่การยอมรับอย่างแท้จริงไม่สามารถใช้เงินซื้อได้
7. 'เพื่อนแท้' เพื่อนกินหาง่ายถ้าเราจ่าย แต่เพื่อนแท้ไม่ได้ใช้เงินซื้อ ..คนที่อยู่ข้างๆ เรา เวลาเราไม่มีอะไร นั่นคือเพื่อนแท้
8. 'บ้าน' เงินซื้อที่อยู่อาศัยได้ แต่ซื้อบ้านไม่ได้ เพราะบ้านไม่ใช่สถานที่ มันคือคนที่เราเชื่อมต่อ
9. 'ความมั่งคั่ง' เงินเท่าไหร่ก็ไม่รวย ถ้าเราไม่รู้ว่าความรวย แปลว่า เรามีชีวิตที่เราเลือกและกำหนดเอง 'สามารถใช้เวลาชีวิตกับสิ่งที่เราเลือก' ไม่ได้วัดที่จำนวนเงิน
10. 'ประสบการณ์' เราเรียนรู้ได้ อ่านหนังสือได้ แต่สุดท้ายเราจะไม่เข้าใจมันจริงๆ จนกว่าเราจะเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ของเรา และประสบการณ์ในยุคนี้ สำคัญกว่าใบปริญญา
สรุป ให้หาเงินให้เป็น แล้วเอาเงินนั่นแหละลองค่อยๆ ซื้อเวลาตัวเอง ...ถ้าคุณทำได้ดี คุณจะได้เวลาชีวิตคืน -- 'เงินใช้ซื้อเวลา แต่ความสุขที่แท้จริงต้องเอาเวลาไปแลก'
xxxxxxxxxxxx
'นักวิ่งย่อมล้มบ้าง แต่อย่าหยุดวิ่ง'
วันนี้ทุกธุรกิจกำลังเปลี่ยน นั่นรวมถึงอาชีพของเราแต่ละคนกำลังเปลี่ยน
ผลของการเปลี่ยน ..มันมี 2 ทาง คือ ดีขึ้น หรือ แย่ลง - คำถามคือ จะรู้ได้ไงว่าตัวเรา จะดีขึ้นหรือแย่ลง มันมีข้อสังเกตหลักๆ ดังนี้
1. 'งานที่เราทำ มันทำให้เราอึดอัด เพราะต้องเรียนรู้อะไรใหม่ ใช่หรือไม่' ..งานผมกำลังเจอเรื่องนี้เลย ผมเป็นนักเขียนที่วันนี้คนซื้อหนังสือน้อยลงมากๆ ..ผมต้องเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ ใน Social และ ต้องทดลองสอนสัมมนาต่างๆ ออนไลน์เพื่อเข้ากับยุคสมัย คือ ต่อไปเนื่องจากเวลาที่จำกัดการเรียนออนไลน์จะใหญ่กว่าเรียนปกติ ..ในฐานะคน Low Tech อย่างผมต้องเรียนรู้ขนานใหญ่เลยทีเดียว !!
2. 'งานที่เราทำ ให้เราเจอคนที่หลากหลาย' เราได้เจอคนที่ไม่ได้อยู่ในสายงานเดียวกัน ตรงนี้แหละโอกาสการเรียนรู้ในเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ..วันนี้ผมนัดคุยกับคนต่างสาขาอาชีพมากมาย ก็แลกเปลี่ยนมุมมอง และหาโอกาสใหม่ๆ ทำ Project ร่วมกัน
3. 'งานที่เราทำ มีผลต่อคนส่วนใหญ่ของบริษัท' ในการเปลี่ยนแปลง มักจะมีคนกลุ่มนึงในบริษัทที่ทำหน้าที่คิดและรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เช่น ใน Nokia ก็จะมีหน่วยงาน Smartphone ..กลุ่มคนเหล่านี้ เขาจะได้โอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ..มันไม่ได้จำเป็นว่าเขาจะพลิกหรือช่วยบริษัทได้หรือใหม่ แต่สิ่งที่เขาได้คือ 'ความรู้ที่ทันสมัย ซึ่งมีค่ามหาศาลในยุคปัจจุบัน'
4. 'งานที่เราทำ มันดูไม่มั่นคง' ฟังดูตลกว่ายุคนี้งานที่ทำให้เรามั่นคงคือเราทำงานในตำแหน่งที่ไม่มั่นคง ก็เพราะมันช่วยให้เราระวังตัว คิดตลอด และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ..คนที่อยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงวันนี้ เป็น Comfort Zone ที่อันตรายอย่างมาก
5. 'งานที่เราทำ มีคุณค่าต่อผู้คน' วันนี้เราเลือกได้ว่า จะแชร์ความรู้ทาง Social เช่น ข้าราชการบางคนเปิด Facebook แชร์ความรู้และประสบการณ์ให้รุ่นน้อง , อาจารย์เปิดเว็บสอนเด็กๆ ในเรื่องการพัฒนาความรู้ และเทคนิคการเรียน ...ใช่!! คนเรามีคุณค่ามากกว่าแต่ตำแหน่งงานที่เราทำ
xxxxxxxxxxx
'ทำไมคนอายุน้อยต้องลองเป็นลูกจ้างสักครั้งในชีวิต'
10 ข้อควรรู้ จากลูกจ้าง เพื่อเรียนรู้ชีวิตที่ดีขึ้น
1. เพราะการเป็นลูกจ้าง ทำให้รู้ว่า ไม่มีใครในโลกนี้เหมือนพ่อแม่คุณ
2. ทำให้รู้ว่าเงินหายาก เมื่อถอดชุดนักศึกษาออก (ชายกลางคน กทม.ใจดีเคยกล่าวไว้อย่างลึกลับว่า 'ถ้าติดปัญหา ใส่ชุดนักศึกษา แล้วมาปรึกษาพี่ ?')
3. ทำให้รู้ว่าเงินไม่ได้แปรผันตามใบปริญญา (ปริญญาสูงขึ้น ไม่ได้การันตีรายได้ที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด)
4. ทำให้รู้จักเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ..อย่าเดินหันหลัง ในที่ทำงาน ทำไง ? เพิ่งมารู้ว่าให้จับกลุ่มคนคอเดียวกัน แล้วเดินเอาหลังชนกัน 'ในออฟฟิส เราเรียกวงล้อมแห่งการอยู่รอด'
5. ทำให้รู้ว่างานหนักไม่ได้ทำให้คนรวย
6. ทำให้รู้ว่ามันมีรางวัลให้เฉพาะตรงสุดทางเท่านั้น ..ซ้ายสุด ขวาสุด สูงสุด ต่ำสุด แนวสุด กวนสุด อ้อนสุด ตรงสุด
7. ทำให้รู้ว่าความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และตำแหน่งในยุคนี้ ก็ไม่ได้แปรผันตามความมั่งคั่งอีกเช่นกัน
8. ทำให้รู้ว่าการใช้ชีวิตอย่างประหยัด ไม่สามารถปฏิบัติได้จริงในโลกของมนุษย์เงินเดือน
9. ทำให้รู้ว่าเวลาว่างในโลกของลูกจ้าง มีไว้ใช้จ่ายเท่านั้น ..ไม่แปลกที่ไม่เคยมีเงินเก็บ
10. ทำให้รู้ว่า เก่งคนสำคัญกว่าเก่งงาน
เมื่อเรียนรู้การเป็นลูกจ้าง ก็ลองพัฒนาตัวเองเรียนรู้ สิ่งที่ควรเรียนรู้จากการเป็นผู้ประกอบการ
'อย่าหยุดเรียนรู้ เพราะนั่นคือเหตุผลเดียวที่เรายังมีลมหายใจอย่างมีคุณภาพ'
xxxxxxxxxxxx
'10 สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการทำงานไม่ประจำ'
ในยุคนี้มีงาน 2 แบบ คือ หนึ่ง งานประจำ (สิ่งที่ต้องทำในหน้าที่) สอง งานไม่ประจำ (งานที่ทำนอกจากหน้าที่ มีไว้ทำเงิน)
หลายๆ คน เปลี่ยนงานไม่ประจำ ให้ทำเงินมาก มากจนเกินงานประจำ แต่ก็ยังคงทำงานประจำ ...และนี่คือ 10 สิ่ง ที่คนเหล่านี้สอนผม
1. 'เวลาว่าง คือ ช่วงเวลาที่เขาใช้เปลี่ยนชีวิต' เวลางานก็ทำงาน เวลาว่างก็เอามาใช้พลิกชีวิต
2. 'ลงทุนกับความรู้ เพราะความเชี่ยวชาญคือเงิน' ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่จะได้ค่าจ้างเหมาะสมกับเวลาที่เขาเสีย
3. 'ใช้ตัวเองให้เปลืองที่สุด' เพราะตัวเรา ทำงานเราได้ดีที่สุด ในค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุด
4. 'ถ้าทำงานไม่ประจำได้ดีพอ งานนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนชีวิตเราในที่สุด'
5. 'งานไม่สามารถทำให้มั่นคง แต่รายได้สามารถทำให้มั่นคง' คนเหล่านี้จะรู้จัก Passive Income คือ กระแสเงินสดที่ไหลมาให้ แม้จะไม่ได้ทำงานแล้วก็ตาม
6. 'ความล้มเหลวเป็นครู' สมัยนี้ไม่มีความล้มเหลวที่ถาวร หากเราเรียนรู้จากมัน เราจะโตขึ้น และนี่คือส่วนนึงของวิธีคิดและชีวิตที่เติบโต
7. 'ลูกค้าจะตีค่าจากงานที่เราทำ ไม่ได้ตีค่าจากปริญญาที่เราเรียน' ..ลูกค้าจ่ายเงินตามงาน ไม่ได้จ่ายตามใบปริญญาของเรา
8. 'งานไม่ประจำไม่ใช่งานอิสระ ที่นึกจะทำยังไงก็ได้ แต่มันยิ่งกว่างานประจำ' ความรับผิดชอบมีความสำคัญกับงานไม่ประจำ มากกว่างานประจำ เพราะคนจ่ายเราที่ผลงาน - มีคุณภาพ ตรงเวลา เชื่อถือได้ เท่านั้น
9. 'งานประจำคือทำตามสั่ง แต่งานไม่ประจำต้องคิดเผื่อลูกค้า' ไม่มีใครมาสั่งให้เราทำอะไร มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องคิดเผื่อเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า
10. 'งานประจำเส้นสายสำคัญ แต่งานไม่ประจำเส้นสายยิ่งโคตรสำคัญ' หากคิดจะจริงจังกับงานไม่ประจำ สิ่งที่ต้องเร่งทำคือรู้จักคน
ผมเชื่อว่า ยุคนี้ความมั่นคง ไม่ได้ขึ้นกับตำแหน่งงานที่คุณทำ หรือใบปริญญาที่คุณเคยเรียน แต่มันขึ้นกับ คุณภาพที่คุณใส่ลงไปในงาน ...จากนั้นผลของงาน จะเชื่อมต่อ และบอกว่าคุณคือใคร
ยิ่งคุณทำงาน คุณจะยิ่งรู้จักตัวคุณเองมากขึ้นเรื่อยๆ
'ผมไม่ได้บ้างาน ผมก็แค่อยากรู้จักตัวเอง'
xxxxxxxxx
'ค่านิยม 10 ประการที่ผมเรียนรู้จากคนรุ่นใหม่'
ยังไม่ได้ตัดสินว่าดีหรือไม่ แต่ชีวิตจะเป็นไปดั่งที่เขาเลือก !!
คนรุ่นใหม่สอนอะไรเราได้บ้าง ดูจากการเลือกใช้ชีวิตของเขา
ค่านิยมจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ก่อเกิดเป็น 'ความเชื่อ' และวิถีปฏิบัติ ที่ทำให้คนแต่ละ เจน คิดเหมือนกัน และทำเหมือนกัน ..มาดูกันว่าคนรุ่นใหม่เชื่ออะไรกัน
1. 'คนรุ่นใหม่เชื่อว่า ประสบการณ์สำคัญกว่าเงิน' เก็บเงินเพื่อเที่ยว ไม่เก็บเงินเพื่ออยู่ เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน
2. 'รักใครไม่เท่า เรารักตัวเอง' คนยุคนี้เชื่อว่า ก่อนจะหัดรักคนอื่น ต้องรักตัวเองให้เป็นก่อน ..ไม่เช่นนั้นจะไม่เข้าใจคำว่า รักจริงไม่จิงโจ้ !!
3. 'สุขภาพและหน้าตา คือการลงทุน' ให้เลือกใช้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ตัวเอง เพราะ 'ตัวเรา' คือการลงทุนที่คุ้มที่สุด
4. 'ความมั่นคง คือการเพิ่มทางเลือก' คนมีทางเลือกมากคือคนที่ชีวิตมีความมั่นคง
5. 'ไม่มีคำว่าไม่ ในชีวิตการทำงาน' เด็กยุคนี้จึงพร้อมเปิดรับกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
6. 'เวลาคือสิ่งมีค่าที่สุด' เสียอะไรก็เสียได้ แต่ถ้าเสียเวลา มันเอากลับคืนมาไม่ได้
7. 'กฎเกณฑ์มีไว้แหก ไม่ได้มีไว้ตาม' เดินตรงทำไมในเมื่อมีทางลัด ..เจสสสส ?!?
8. 'งานพ่อคืองานพ่อ งานเราคืองานเรา' เลือกทำงานเพื่อแสดงตัวตน สำคัญกว่างานที่ต้องทำ
9. 'อนาคตคือปัจจุบัน' ใช้ปัจจุบันให้สุด แล้วอนาคตจะจัดการตัวของมันเอง ...ชีวิตมรึงอ่ะ ใช้ซะ !!!
10. 'ทางเดินชีวิตมีทางเดียว' คือ ทางที่ฉันเลือกเอง
ช็อคครับ !! อินดี้มาก ...แต่คนรุ่นใหม่เขาสอนผมแบบนี้ -- ความเชื่อเหล่านี้ มันส่งผลต่อการใช้จ่าย ใช้ชีวิต งาน การลงทุน และ ครอบครัว ของคนรุ่นนี้
ยุคปู่ ทำงานเพื่อเก็บ
ยุคพ่อ ทำงานเพื่อสานต่อ
ยุคลูก ชีวิตใช้ซะ !!
'แปลกแต่จริง แล้วก็ยิ่งน่าคิด ...มันเป็นวิถีชีวิตที่บีบอัดจากประสบการณ์' - และแล้วมนุษย์มีชีวิตเป็นไปดั่งที่เขาเลือก !!
...ปริ้ง !! ..วิ้ง ..วิ้ง
xxxxxxxxxxxx
'ทุกอาชีพ ทุกทางเลือก มีคนที่สำเร็จอยู่แล้ว' -- ผมศึกษาวิธีคิดเขา แล้วเลือกที่เหมาะกับเรา แล้วค่อยๆ เดินไป
นี่คือวิธีพัฒนาตัวเองที่ผมใช้ตลอด ..ซึ่งมีหลักปฏิบัติ 10 ประการ ดังนี้
1. 'มองหาต้นแบบ แล้วแกะวิธีคิด แต่ไม่ยึดติดวิธีทำ'
2. 'จุดหมายแห่งความสำเร็จมีเป้าหมายที่ชัด แต่ทางเดินสู่เป้าหมายนั้นต้องเหมาะกับตัวเรา'
3. 'หมั่นถามตัวเอง เพื่อหาสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ในช่วงชีวิตนั้นๆ'
4. 'ลองผิดลองถูกจริง จากก้าวเล็กๆ ที่เราควบคุมได้'
5. 'เรียนรู้จากการสะดุดล้ม ระหว่างทางที่ก้าวเพื่อค้นหาอาจารย์ที่แท้จริง'
6. 'เมื่อเส้นทางที่เดินของเราเริ่มชัด ให้มองหาเพื่อนร่วมทาง ที่ก้าวมาในสายนี้ร่วมกัน'
7. 'พัฒนาตัวเองให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เราเลือก'
8. 'กล้าคิด กล้าต่าง เพื่อสร้างจุดยืนของตัวเองที่เด่นชัด'
9. 'แบ่งปัน และหมั่นแชร์ความรู้และประสบการณ์ จากการผจญภัย'
10. 'ทางที่ใช่ คือ การใช้ชีวิตที่เราชอบตัวเอง และมีประโยชน์ต่อผู้คน'
ไม่มีความสำเร็จที่สูงสุด ไม่มีความรู้ที่ดีสุด ไม่มีชีวิตที่เยี่ยมสุด ...มีแต่ประสบการณ์ที่เราเก็บไว้ และแบ่งปันไปให้เป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้คน
xxxxxxxxx
'ทำไมยังไม่ควรซื้อรถ ยกเว้น Taxi'
อยากได้รถ ใครๆ เขาก็มีรถกัน ...ก็ใช่นะ
คนอเมริกาเขามีฝัน American Dream คือ ทุกคนต้องมีบ้าน ...ส่วนการมีรถนี่มัน Thailand Dream เลยนะ
เดี๋ยว!! ไม่ได้ห้ามมี มีได้ แต่ก่อนมี แค่ต้องระวังเรื่องเหล่านี้
1. การมีรถทำให้การลงทุนในชีวิตบิดเบือน ..คนมีรถอาจเลือกบ้านที่ไกลหน่อย เพราะมองว่ามีรถ ดังนั้น อาจส่งผลให้เลือกบ้านที่การเดินทางสาธารณะไม่สะดวก นั่นหมายถึง ผล กระทบในการลงทุนในทำเลบ้าน
2. คนมีรถจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวของคนไม่มีรถ นั่นคือ การผ่อนรถและค่าใช้รถ ทำให้แทบไม่เหลือเงินเก็บ
3. รถจะพาเราไปสู่ค่าใช้จ่ายพิเศษทั้งที่คาดคิดและไม่คาดคิด
4. เมื่อเวลาผ่านไปรถจะมูลค่าหายไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่การลงทุนนะ (นักเลงรถ หรือ คนที่ซื้อรถเป็นการลงทุน ไม่มีใครซื้อรถป้ายแดงครับ)
5. การใช้รถ จะทำให้เราอัพรายจ่ายได้เร็วมากเมื่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น โดยการเปลี่ยนรถคันใหม่
วงจรของ 'รถ' ก็คือ 'ลด' นั่นแหละ
แต่ถ้าอยากมีรถ ต้องดูความพร้อมดังนี้
1. สามารถซื้อรถโดยไม่ผ่อน แต่ผ่อนเอา 0% ตามโปร แล้วมาหักภาษี ..เอาเงินที่เตรียมไปลงทุน
2. ใช้ภาษีจ่ายค่ารถ ..ผู้ประกอบการทุกคนรู้เรื่องนี้ดี เขาเอาภาษีมาจ่ายค่ารถ
3. ใช้รถเหมือน 'บริษัทเช่าใช้' เปลี่ยนรถทุก 5 ปี ไม่ครอบครองให้เกิดภาระ
ไม่ได้พูดว่าซื้อรถไม่ดี แต่จะชี้ว่า การคิดจะซื้อรถ ต้องคิดให้รอบคอบครับ เพราะการซื้อรถแต่ละครั้งมันจะสิ่งผลต่อการตัดสินใจ และเปลี่ยนแปลงของชีวิตเราหลายๆด้าน โดยเฉพาะคนที่เริ่มทำงานและคนที่จะซื้อรถคันแรก !!
xxxxxxxxx
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น