คิดแบบภาววิทย์ 7
ตอน “กัดดาฟี ปะทะ ลีกวนยู”
วันนี้เราเริ่มเห็นกระแส การเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆของประเทศ ทั้งการเมือง และ เศรษฐกิจ ..สองประเทศที่ เห็นความแตกต่างอย่างบ้าคลั่ง เห็นจะเป็น สิงคโปร์ กับ ลิเบีย
ปี 2012 หมอดูไทย ต่างฟันธงว่า จะเกิดปราฏการณ์ผู้นำเผด็จการเสียชีวิตกันแบบใบไม้ล่วง ...เราเห็นการจากไปของ กัดดาฟี , คิม จองอิว , บินลาเดน , ฮูโก ชาเวส ..และ การเปลี่ยนแปลงของ อาหรับสปริง “Arab Spring” ที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมาท้าทายอำนาจของผู้นำเผด็จการ
....ทั้งหมดผมว่า ผู้นำเหล่านี้ควรจะเรียนรู้อะไรบ้างจาก ลีกวนยูแห่งสิงคโปร์
ถ้าพูดถึง ลีกวนยู จะว่าเขาเป็นเผด็จการประชาธิปไตยก็น่าจะได้ เพราะปกครองประเทศยาวนานเกิน 40 ปี คล้ายกับ กัดดาฟี แห่งลิเบีย ..ซึ่งทั้งสองผู้นำคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และ การทหาร
..แต่ความต่าง คือ ความเจริญของ ลิเบีย กับ สิงคโปร์ ต่างกันสุดโต่ง ทั้งที่ประชากรเท่ากัน และ ถ้าเทียบกันตรงๆ จะเห็นเลยว่า ลิเบียได้เปรียบสิงคโปร์ เพราะลิเบีย มีน้ำมัน และ ทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล แต่กลายเป็นว่า คนลิเบียจน ประเทศก็ไม่ค่อยพัฒนา
ในอีกมุม หากเอาทรัพย์สินของผู้นำมาเปรียบเทียบ เราเห็นเลยว่า กัดดาฟีและครอบครัว มีทรัพย์สินในครอบครองกว่า $ 200 Billion ..ประมาณว่า ถ้า Forbes รวม กัดดาฟี มาด้วยในการจัดอันดับก่อนเขาตาย ..กัดดาฟี ก็คือ คนที่รวยที่สุดในโลก
...แต่ประเด็นมันน่าสนใจตรงที่ ลีกวนยู ทั้งที่ปกครองประเทศยาวนานเหมือนกัน และ คุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ลีกวนยู ไม่เคยถูกจัดอันดับว่า ร่ำรวยมหาศาล
“คุณว่าอะไรคือ Wealth ที่แท้จริง ...ตัวเลข หรือ อย่างอื่น !!”
หนึ่ง ตัวเลข ในบัญชีธนาคารของผู้นำเผด็จการ ที่สุดท้ายอเมริกา ก็มายึดคืน จากกัดดาฟี แบบหน้าตาเฉย โดยอ้างว่า ทรัพย์สินที่ได้มามันคือ การโกงจากประชาชน แต่ถ้าคิดดีๆ ทุกบาท ทุกสตางค์ที่กัดดาฟีได้มา มันคือ การขายทรัพยากรของประเทศลิเบีย ดังนั้น ถ้ามีการยึดคืนเงินของกัดดาฟี เงินนั้นควรคืนกับประเทศลิเบียจะถูกต้องกว่า ...
สอง ลีกวนยู ถูกขนานนามว่าเป็น บิดาแห่ง สิงคโปร์ เพราะสร้างทุกอย่าง ...ปัจจุบันพรรคการเมืองที่ ลีกวนยูตั้ง ยังคงคุมกอำนาจรัฐ แถมผู้นำคนปัจจุบันของสิงคโปร์ก็คือ ลีเซียงลุง ลูกชายของ ลีกวนยูนั่นเอง ...แปลง่ายๆ ว่า ตระกูลลี ในปัจจุบัน ก็ยังคงควบคุมทุกอย่างของสิงคโปร์แบบเบ็ดเสร็จ โดยไม่ได้สนเลยว่า ตัวเลขในบัญชีของเขาเองจะเป็นเท่าไหร่
กรณีที่หนึ่ง เหมือนเอาทุกอย่างเข้าตัว แต่ผลสุดท้ายคือซวย เพราะเสียทุกอย่าง ...ส่วนกรณีที่สอง ของลีกวนยู มันเหมือนเขาทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น แต่สุดท้ายเขากลับได้ทุกอย่าง
ถ้าจะแปลกลยุทธ์ของ ลีกวนยู ให้ฟังดูเข้าใจง่ายๆ ก็คือ “Win – Win” ซึ่งมองยังไงตัวลีกวนยูเอง กลับได้รับทุกสิ่ง เพราะคนๆนึง ถ้าจะมองความสำเร็จ ก็คือ ตัวเขามีความสุข และ ทายาทของเขาก็ประสบความสำเร็จ ..ทุกโจทย์ดูเหมือนจะตอบได้ดีหมด
จริงๆ ถ้าจะเอา ประเทศสิงคโปร์ กับ ลิเบีย มาเทียบกัน และเอา ลีกวนยู กับ กัดดาฟี มาเทียบกัน มันสามารถมองได้หลายมิติมากๆ ...เพราะมันเป็นอะไรที่สุดโต่งคนละขั้ว แต่ที่ต่างกันแบบสุดๆ ก็คือคนนึง มองได้กว้างกว่าอีกคนนึง ก็เท่านั้นเอง
ผมว่าสุดท้าย การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน มันคือ การที่ต้องทำให้ทุกคนมีความสบายกาย และ ความสุขใจที่เพียงพอ รวมทั้งการสร้างให้คนทุกคนรู้จักสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยตัวเอง ซึ่งประเทศเองก็ต้องมีกฏหมายและนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างและเก็บสะสมความมั่งคั่ง
...แก่นที่สำคัญในการยกระดับชีวิต สุดท้ายก็กลับมาเรื่องของการศึกษาอยู่ดี เพราะ วันนี้ถ้าเรามองสิงคโปร์จะเห็นเลยว่า เขาเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมและประมงจนๆ มาเป็นอุตสาหกรรม และ สุดท้ายก็เปลี่ยนจากอุตสาหกรรม มาเป็น บริการ Service Industry ในที่สุด
วันนี้โลกเรามีแรงงาน และ เครื่องจักรเพียงพอในการทำอาชีพเกษตรกรรม และ อุตสาหกรรมเบื้องต้น ที่รายได้ต่ำ
..การเพิ่มความรู้ และ เทคโนโลยีการผลิต จะทำให้ผลิตผลในสินค้าอุปโภคบริโภค ถึงมือลูกค้าในต้นทุนที่ต่ำลงเรื่อยๆ
...อนาคตของการสร้าง Wealth จึงอยู่ที่การศึกษา และ การบริการ การสร้างธุรกิจ ที่ใช้ความคิดเป็นที่ตั้ง
...อ้าว!! แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหนล่ะ ?
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น