10 เทคโนโลยีสุดล้ำแห่งปี 2017
ที่ทางสภาเศรษฐกิจโลกหรือ World Economic Forum คาดการณ์ว่า จะพลิกโฉมรูปแบบการผลิต การบริโภค และชีวิตของเรา ไปตลอดกาล...
1. Nanosensors & Internet of Nano Things
เทคโนโลยีที่เล็กที่สุดในโลกจะอยู่ในตัวเรา
Internet of Things เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ต่อไปนี้เส้นใยในเสื้อผ้า รถยนต์ โดรน บ้าน
ไปจนถึงอวัยวะในร่างกายจะมีเซ็นเซอร์จิ๋ว
ที่มีอนุภาคระดับนาโนคอยบันทึก
และส่งข้อมูลของเราไปยังสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์
หรืออะไรก็ตามที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ อุปกรณ์รอบตัวเรา
จะสื่อสารและทำงานกันเอง โดยที่เราไม่ทัน
ได้ออกคำสั่งด้วยซ้ำ (ลองนึกถึงบ้านอัจฉริยะ
ที่ปลดล็อกประตูทันทีที่จับความเคลื่อนไหว
ของเจ้าของบ้านได้)
เทคโนโลยีนี้ยังมีประโยชน์มากๆ
สำหรับการติดตามอาการผู้ป่วย เช่น
การฝังนาโนเซ็นเซอร์ในหัวใจเทียม
ซึ่งจะส่งสัญญาณเตือนแพทย์
เมื่อเกิดความผิดปกติ
ที่น่ากังวลก็คือ เมื่อทุกอย่างเก็บข้อมูลได้
สุดท้ายแล้วเราจะยังรักษาความเป็น
ส่วนตัวกันได้หรือไม่
2. NewGENERATION of Batteries
ทุกบ้านจะใช้แบตเตอรี่เก็บพลังงาน
บริษัท Fluidic Energy จึงคิดค้นพัฒนา
แบตเตอรีสังกะสี-อากาศ (Zinc-air Battery)
ขึ้นมา ซึ่งสามารถเก็บพลังงานแสงอาทิตย์
และลมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ซึ่งความก้าวหน้านี้อาจทำให้กว่า 1.2 พันล้านคน
ทั่วโลกเข้าถึงไฟฟ้าจากพลังงานทางเลือกในปี 2020
โอกาสที่น่าจับตามอง: แหล่งพลังงานของบ้าน
ร้านค้า โรงงาน และชุมชน จะมาจากแบตเตอรี
ที่ใช้เก็บพลังงานทางเลือก
3. Blockchain – เมื่อธนาคารอยู่บนมือของคุณ
บล็อกเชน (Blockchain) คือเทคโนโลยี
ที่จะพลิกเกมของวงการ ธุรกรรม
การเงินอย่างแท้จริง
อธิบายแบบสั้นๆ บล็อกเชน คือระบบ
จัดการฐานข้อมูลแบบหนึ่งที่ตั้งอยู่บน
บัญชีธุรกรรมออนไลน์ ช่วยให้การทำ
ธุรกรรมออนไลน์สะดวกรวดเร็วขึ้น
เพราะไม่ต้องผ่านคนกลางอย่างธนาคาร
หรือสถาบันการเงินอีกต่อไป เท่ากับว่า
ต้นทุนและค่าธรรมเนียมต่างๆ จะถูกลงด้วย
แถมมีความปลอดภัยสูง
เพราะผู้ใช้ต้องบันทึกความเป็นเจ้าของ
สินทรัพย์ และยืนยันตัวตนผ่านการเข้า
รหัสขั้นสูง ทุกคนสามารถแกะรอยได้ว่า
ใครเป็นเจ้าของข้อมูลบัญชี เนื่องจาก
ข้อมูลถูกบันทึกและแชร์กันทั้งระบบ
นอกจากนี้ ยังมีระบบอัลกอริทึม
ตรวจสอบการแลกเปลี่ยน (transaction)
และป้องกันการปลอมแปลงข้อมูล
ซึ่งเทคโนโลยีนี้ยังรับรองความปลอดภัย
การซื้อขายเงินตราดิจิทัล เช่น บิตคอยน์
และการทำธุรกรรมอื่นๆ เช่น การกู้ยืมเงิน
การขายหลักทรัพย์ การโอนเงินข้ามประเทศ
และจะมีบทบาทด้านอื่นๆ ตามมาอย่างแน่นอน
โอกาสที่น่าจับตามอง: ธนาคารจะหายไป
และคนจะซื้อขายของกันโดยไม่ใช้เงินสด
4. 2D Materials อุปกรณ์ไฮเทค
จะเป็นเนื้อเดียวกับผิวหนัง
วงการวิทยาศาสตร์กำลังตื่นเต้นกับ
การพัฒนาวัสดุ 2 มิติ หนึ่งในนั้นต้อง
ยกให้กับแกรฟีน (Graphene)
วัสดุสุดล้ำที่มีความหนาแค่
อะตอมเดียวเท่านั้น แต่มีคุณสมบัติ
แข็งกว่าเหล็กและเพชร
มีความยืดหยุ่นสูง นำไฟฟ้า
และความร้อนได้ดี และคาดว่า
จะใช้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แทนซิลิคอนเร็วๆ นี้
หลายคนอาจสงสัยว่าวัสดุ 2 มิติ
จะทำอะไรได้บ้าง ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
แห่งหนึ่งในต่างประเทศได้คิดค้น
แผ่นเซ็นเซอร์พิมพ์สามมิติ
จากแกรฟีน
และติดบนเสื้อผ้าของผู้สูงอายุ
วิธีนี้จะทำให้ผู้ดูแลรู้ว่าสุขภาพ
ของผู้สูงอายุเป็นอย่างไร และคอย
ดูแลความปลอดภัยได้อีกด้วย
ถ้าวัสดุ 2 มิติออกสู่ตลาดเมื่อไร
อุปกรณ์จำพวก Wearable Technology
จะไม่เพียงมีน้ำหนักเบามาก
แต่ยังบางมากจนแทบเป็นเนื้อเดียว
กันกับผิวหนัง และเราอาจได้ใช้
คอนแทคเลนส์แทนแว่น
Virtual Reality ก็เป็นได้
โอกาสที่น่าจับตามอง: มนุษย์
จะมีสภาพใกล้เคียงกับ ‘ไซบอร์ก’
ที่มีอุปกรณ์อัจฉริยะติดตามตัว
5. Autonomous Vehicle
โลกที่ไม่มีใครต้องขับรถ
ต่อไปเราอาจเดินทางอยู่บนถนน
ที่ไม่มีใครขับรถสักคัน
เวลานี้ทั้ง Tesla Motors, BMW,
Ford และ Mercedes-Benz
รวมทั้งบริษัท Google กับ Apple
กำลังแข่งกันพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ
เพื่อให้มั่นใจว่าการเดินทางจะยิ่งสะดวก
รวดเร็ว และปลอดภัยยิ่งกว่าการขับเอง
ขณะที่ระบบขนส่งมวลชน รถบรรทุกสินค้า
และบริการ Car Sharing ก็จะเริ่มใช้ระบบ
ขับเคลื่อนอัตโนมัติเช่นกัน
คาดว่าเราจะเริ่มเห็นรถยนต์ไร้คนขับ
เต็มรูปแบบออกสู่ตลาดจริงๆ
ในปี 2020
หลายๆ บริษัทจะเลิกผลิตรถยนต์
ที่ไม่มีระบบอัตโนมัติ และเกิดเมือง
ไร้คนขับภายในปี 2050
โอกาสที่น่าจับตามอง: เมืองในอนาคต
จะไม่มีใครขับรถและไม่มีรถติด
6. Organ-on-Chips
อวัยวะคนจะเหลือแค่ชิป
นี่ไม่ใช่การฝังชิปติดตามในร่างกาย
แบบในหนัง แต่เรากำลังพูดถึงสิ่งประดิษฐ์
สุดล้ำที่เปลี่ยนแผ่นไมโครชิปขนาดเท่า
เมโมรี่สติ๊ก ให้เป็นอวัยวะคน!
สถาบันวิจัย Wyss Institute กำลังพัฒนา
ไมโครชิปที่เลียนแบบการทำงาน
ของอวัยวะมนุษย์ เพื่อใช้ทดลองยา
และสารเคมี ไม่ว่าจะเป็นตับ กระดูก
หัวใจ ปอด ซึ่งทำงานได้เหมือนอวัยวะจริงๆ
เช่น การดูดซึมของเซลล์ การหายใจ
การบีบและหดตัวของกล้ามเนื้อ
ชิปสุดล้ำนี้ยังใช้ตรวจสอบสารพิษ
ในสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่เราจะไม่ต้อง
ทดลองกับสัตว์หรือคนกันแล้ว
โอกาสที่น่าจับตามอง: การค้นพบยา
รักษาโรคและการปลูกถ่ายอวัยวะด้วยชิป
7. PerovskiteSOLAR CELLS
โซลาร์เซลล์
กลายเป็นแหล่งพลังงานของคนทั้งโลก
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าโซลาร์เซลล์
กำลังตกเป็นจำเลยคดีปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกจากกระบวนการผลิต
ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
พอหมดอายุก็กลายเป็น ขยะมีพิษอีก
นี่ยังไม่นับเรื่องขนาดแผงที่กินพื้น
ที่ติดตั้งไปมากโข
ปีที่ผ่านมา นักวิจัยจากสถาบันเอ็มไอที
และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา
ได้ร่วมกันพัฒนาแผงโซลาร์รุ่นใหม่
ที่ผลิตจาก ‘เพอรอฟไกต์’ (Perovskites)
ได้สำเร็จ วัสดุ (ชื่อยาวและอ่านยาก)
นี้มีคุณสมบัติดูดกลืนแสงได้ดีกว่าซิลิคอน
ซึ่งนิยมใช้ผลิตแผงโซลาร์ในปัจจุบัน
มีความหนาไม่ถึง 1 ไมโครเมตร
น้ำหนักเบา ผลิตเป็นแผ่นฟิล์มได้เลย
แถมยังสนนราคาถูกกว่าและปล่อย
ก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าการผลิต
แบบเก่าพอตัว!
โอกาสที่น่าจับตามอง: ทุกบ้านและ
บริษัทในภาคธุรกิจจะใช้โซล่าร์เซลล์
เป็นแหล่งพลังงานหลัก
8. Open AI Ecosystem
AI จะฉลาดขึ้น
และแย่งงานมนุษย์
เวลานี้แทบทุกวงการกำลังตื่นตัวกับ
AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เพราะอีกไม่ช้า
AI จะเข้าถึงข้อมูลทุกสิ่ง และรับรู้
ทุกความเคลื่อนไหวของเราอย่าง
ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นเบอร์ติดต่อในโทรศัพท์มือถือ
อีเมล ไฟล์งานทั้งหมดในคอมพิวเตอร์
จำนวนเงินในบัญชีธนาคาร
ไปจนถึงอุณหภูมิในห้องนอน
รถยนต์ที่เรากำลังโดยสาร และปลายทาง
AI จะกลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่รู้ใจเรา
(มากกว่าเรารู้ใจตัวเอง ขอให้ลืม Siri ไปได้เลย!)
และ ‘ฉลาด’ จนสามารถทำงานแทนมนุษย์
เช่น ทำการเกษตร ดูแลผู้สูงอายุ และจัดการ
ดูแลด้านการเงินส่วนบุคคล
พร้อมๆ กับบางอาชีพที่จะสูญหายไปในที่สุด
อะไรที่น่าจับตามอง: อาชีพใหม่ที่จะเกิดขึ้น
ในอนาคต และคุณอาจตกงาน!
9. Optogenetics เมื่อปมในใจ
แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนความทรงจำ
การควบคุมระบบประสาทออปโตเจเนติกส์
ด้วยเทคโนโลยีแสง (Optogenetics)
อาจสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ
วงการแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาโรค
เกี่ยวกับระบบประสาท ความผิดปกติของสมอง
หรือแม้กระทั่งการดัดแปลงความทรงจำ
ปัจจุบัน วงการแพทย์นำโปรเจกต์นี้
ไปสานต่อในการรักษาทหารผ่านศึก
และผู้ป่วย PTSD
(Posttraumatic Stress Disorder)
ที่เคยประสบอุบัติเหตุหรือผ่าน
เรื่องราวเลวร้ายมาก่อน
เพราะบางความทรงจำก็รุนแรง
และบั่นทอนเรายิ่งกว่าโรคร้ายเสียอีก
โอกาสที่น่าจับตามอง: ปมทางจิตใจ
จะแก้ไขได้ เทคโนโลยีออปโตเจเนติกส์
จะเป็นความหวังใหม่ของการช่วยคนที่
ผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจ หรือ PTSD
เช่น ประสบอุบัติเหตุ ภัยธรรมชาติ
หรือถูกทารุณกรรม
10. Systems Metabolic Engineering
การปฏิวัติโลกเกิดขึ้นในระดับ 'จุลินทรีย์'
มนุษย์กำลังวิวัฒนาการตัวเองไปอีกขั้น!
เมื่อความก้าวหน้าทางชีวสังเคราะห์
วิศวกรรมเมตาบอลิซึม และเมตาจีโนมิกส์
หมุนมาบรรจบกัน เปิดทางให้เราค้นพบยีนใหม่ๆ
เร็วขึ้น และหาทางออกแบบยีนในสิ่งมีชีวิต
หรือสร้างรหัสพันธุกรรมใหม่ได้เอง
ซึ่งจะนำไปสู่การผลิตยารักษาโรคและ
กำจัดเซลล์ร้ายหรือมะเร็งในร่างกาย
นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ
จุลชีพสังเคราะห์ เพื่อพัฒนาในการผลิต
เชื้อเพลิงชีวภาพให้เป็นพลังงานสะอาด
เพื่อใช้แทนน้ำมันที่กำลังจะหมดไปจากโลก
โอกาสที่น่าจับตามอง: เทคโนโลยีชีวภาพ
และวิศวกรรมเมตาบอลิซึมจะลดสารพิษ
ในระบบอุตสาหกรรม พลังงานเชื้อเพลิง
ชีวภาพจะมาแทนน้ำมัน
อ้างอิง:
- www.fluidicenergy.com
- การบรรยาย 'A mouse. A laser beam. A Manipulated Memory' โดย Steve Ramirez and Xu Liu
- บทความ'TOP 10 Emerging Technologies of 2016' โดย World Economic Forum
- บทความ 'เซลล์สุริยะพิมพ์ได้' โดย ดร.อดิสร เตือนตรานนท์
- บทความ 'ระบบประสาทออพโตเจเนติค' โดย สวทช.
KKC is OK
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น