วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การขอโทษและการให้อภัย....???

   สวัสดีครับ วันนี้พอหาเวลานั่งค่อยๆพิมพ์อะไรเล่นๆ อยากเล่าประสบการณ์และความคิดที่ใช้กับตัวเองมา สู่กันฟังครับ ผมว่าเป็นแนวความคิดที่น่าลองคิดดูอีกทางก็ดีนะครับ
  ผมให้ชื่อหัวข้อว่า ""การขอโทษและการให้อภัย"" คือผมได้เห็นข้อความมากมายหลายข้อความ และคำสอนคำเตือนมากมาย เรื่องการขอโทษและการให้อภัย
  ผมเคยพูดกับเพื่อนหรือคนใกล้ตัวทุกคนที่สนิทกันบ่อยครั้งว่า ผมเป็นคนไม่ชอบการขอโทษ และไม่ชอบการให้อภัย จนทุกคนที่ผมพูดคุยด้วย มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมเป็นคนใจดำ ไม่ชอบขอโทษใครและไม่ชอบการให้อภัยใคร กลายเป็นงั้นไป..!!! อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิดแบบนั้นเลยครับ ช่วยฟังอธิบายก่อน  คือผมคิดแบบนี้ครับ
     การเกิดเหตุการอะไรขึ้นสักเหตุการณ์หนึ่ง จนถึงขั้นต้องขอโทษกัน หรือให้อภัยกันนั้น มันต้องผ่านเหตุการณ์หลายขั้นตอน จนสุดท้ายถึงขั้นขอโทษ และท้ายสุดคือให้อภัย เรามาดูกันว่าเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง
- เริ่มที่เหตุการณ์ที่ใครสักคน (นาย ก.)กระทำใดๆกับอีกคน (นาย     ข.)
- การกระทำนั้น กระทบในทางลบ นาย ข. อาจจะเกิดจากการผิดพลาด ตั้งใจ ของนาย ก. หรือการเข้าใจผิดของนาย ข.เองก็ได้
- ความไม่พอใจย่อมเกิดขึ้นในใจของนาย ข. แล้ว ความขุ่นใจและไม่พอใจเมื่อเกิดขึ้นกับใครแล้ว แม้แต่มีการขอโทษแล้วให้อภัยแล้วภายหลัง ความกลัวต่อนิสัยและพฤติกรรมของนาย ก. ก็ยังคงอยู่ตลอดไป เข้ากับคำกล่าวที่ว่า "ความโกรธหายได้ง่ายแต่ความกลัวยากที่จะหาย""
- ถ้านาย ก.รับทราบภายหลังว่านาย ข.เกิดความไม่พอใจต่อการกระทำของตน ถ้านาย ก.เป็นคนยอมรับความจริง ก็ต้องมีการขอโทษ แต่  ถ้านาย ก.ไม่ใช่คนแบบนั้น เป็นคนเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ว่าตนเองถูกเสมอ ย่อมมีการโกรธตอบและไม่มีการขอโทษ แบบนี้ย่อมเสียเพื่อนไปอีกคน
- สุดท้าย นาย ข.ที่ถูกกระทำในเรื่องนี้ก็ต้องเสียเพื่อนไปอีกคน
   ที่กล่าวผ่านมาเป็นเรื่องทั่วๆไปที่เราเห็นกันเราพบกันจนชินตา แล้วคำสอนที่ได้ยินบ่อยๆคือ ให้อภัยเสีย ไม่จองเวรกัน อโหสิกรรมกันไป แล้วก็ปล่อยให้การกระทำนองนาย ก.ใช้นิสัยเดิมกระทำกับคนอื่นต่อไปไม่จบสิ้น เพราะทุกคนให้อภัยยอมรับการกระทำนั้น สรุปก็คือ คนที่ไม่เคยกระทำอะไรต่อใคร เป็นคนดีที่พยายามอยู่ในสังคมแบบระวังไม่ให้การกระทำของตัวเองกระทบกับใคร แต่ต้องเป็นฝ่ายรับการกระทำจากผู้อื่นและต้องให้อภัยอยู่เสมอและเก็บความอดอัดนั้นไว้ บางทีเท่านี้ก็ยังไม่พอ ก็ในเมื่อฝ่ายกระทำของเขาไม่รู้ว่าการกระทำของตัวเองมีผลอะไรกับผู้อื่น นั่นก็แปลว่า มีโอกาสที่นาย ข. จะโดนเรื่องอื่นบนนิสัยเดิมของคนเดิมอย่างนาย ก.คนเดิมอีก
      เรามาลองคิดกันใหม่ดีไหม.??เอาอย่างที่ผมคิดและผมพยายามระวังมาตลอด คือ การกระทำใดๆที่เราจะมีต่อผู้อื่น ไม่ว่า คิด พูด หรือกระทำ เราเป็นฝ่ายกระทำเราคิดให้มากที่สุด ระวังให้มากที่สุดก่อนได้ไหม แบบว่าถ้าอย่าให้พลาดให้ต้องขอโทษกันทีหลัง ถ้าจะมีการขอโทษทีหลังนั้นต้องเกิดจาก ความคิดที่ว่า.""พยายามระวังที่สุดแล้ว"" ผมเรียกแนวคิดนี้ว่า ""ตัดปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ""อย่าให้เกิดถึงปลายเหตุจนหมองใจกันให้อภัยแล้วในใจก็ไม่หาย
    คิดแบบนี้กันทุกคน สังคมเราจะโกรธเคืองผิดใจกันน้อยมาก  อะไรที่ทำออกไปแล้วอาจเกิดความไม่พอใจกันในสังคม จะถูกระวังให้พลาดให้เกิดน้อยที่สุด  วิธีจัดการความคิดแบบนี้ง่ายนิดเดียวครับ...คือ.ทุกสิ่งที่เราจะกระทำต่อผู้อื่น ไม่ว่า กาย วาจา ใจ คิดอย่างเดียวว่า .."""..ถ้าเขาทำแบบเดียวกับเราเหมือนที่เราจะทำกับเขา เราจะรับได้ไหม.??.""..คิดแค่นี้เราจะได้คำตอบทุกครั้งก่อนที่เราจะทำอะไรออกไป
     หวังว่าสังคมจะรักกันมากขึ้นกว่านี้ และปัญหาความขัดแย้งในสังคมจะน้อยลง 
  เห็นเหตุผลที่ผมว่า ไม่อยากให้มีการขอโทษ การให้อภัย นั้นก็เพราะเหตุที่ว่า เพราะอยากให้สังคมนี้อยู่กันแบบพยายามไม่ให้มีการขอโทษทีหลังน่าจะดีกว่า แต่สุดท้ายถ้ามันที่สุดแล้ว เกิดขึ้นบนความพยายามเลี่ยงแล้ว เราก็ต้องขอโทษและให้อภัยกัน แต่อยากให้เป็นทางเลือกสุดท้ายจะดีไหมครับ...pjmong..
  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น