รายงานจากนักวิจัยทางด้านไอทีที่ไปอยู่จีนกลับมาสู่ระดับนโยบายของไทยครับ
คู่แข่งที่แท้จริงของ Silicon Valley คือจีน หรือถ้าให้พูดชัดๆก็คือ Beijing นั่นเอง บทความที่โพสท์มานี้เป็นบทความที่น่าสนใจมากที่เขียนโดยผู้ก่อตั้ง ShopKick ที่ไป"ฝังตัว"อยู่ที่จีนเป็นเวลา 3 อาทิตย์และมุมมองหลายๆอย่างค่อนข้างตรงกันกับมุมมองที่ผมมีจากทริปที่บินไปที่จีนเมื่อปีที่แล้วและตอนที่เคยทำงานที่ Google China ครับ.
โดยสรุปคือ
1. ที่เราคิดกันว่าจีนนั้นเก่งเรื่องลอกเลียนแบบหรือโคลนนิ่งอย่างเดียวนั้นมันไม่จริงเสียแล้วเพราะเริ่มมีนวัตกรรมที่ออกมาจาก startup จีนที่มีฐานมาจาก deep science / technology และ R&D
2. ซึ่ง innovation ที่มีฐานมาจาก deep science / technology เหล่านี้ก็เนื่องด้วยการศึกษาระดับ world class ที่สร้างวิศวกรและ technologists ระดับหัวกระทิจำนวนมหาศาลออกมา มหาวิทยาลัย Tsinghua นั้นถึงกับได้รับการยอมรับว่าเทียบเท่า MIT เลยทีเดียว ผมเองเคยไปแลกเปลี่ยนที่ Tsinghua มาแล้วบอกได้เลยว่าโหดมากๆครับ
3. Reverse Brain Drain ด้วยโอกาสมหาศาลของตลาดเมืองจีนที่อาจจะ overheated แต่ก็ยังมี ศักยภาพมหาศาล และล่าสุดการลงทุนกว่า USD 1 billion ของ Apple ใน Didi ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำศักยภาพของจีนได้เป็นอย่างดี ก็ยิ่งทำให้ talents หลายๆคนทั้งที่สัญชาติจีนเองหรือสัญชาติอื่นๆยิ่งอยากมาสร้างธุรกิจ tech startup ที่เมืองจีนมากขึ้น
4. ตลาดจีนที่มีขนาดมหึมาด้วยจำนวนผู้ใช้ smartphone ที่คาดกันว่าจะมีกว่า 700 ล้านคนภายในปี 2020 หรือ 3 เท่าของผู้ใช้ smartphoneใน US และด้วย success story ของ startups หลายๆตัวในเมืองจีนที่เติบโตจากศูนย์กลายมาเป็น ธุรกิจขนาด 700,000 ล้านบาทใน 4 ปี อย่าง Meituan ที่มีฐานลูกค้ากว่า 200 ล้านคนแล้วผู้ก่อตั้งคือ Xing นั้นพึ่งอายุแค่ 34 เอง ไม่ต้องพูดถึงรุ่นพี่ๆ generation ที่แล้วอย่าง Alibaba หรือ Baidu ในส่วนเงินลงทุนกับ startup นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมหาศาลมากๆการลงทุนใน startup ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกนั้นก็อยู่ที่จีน และ VC ระดับ top ของโลกแทบทั้งหมดก็ลงไปลุยที่ตลาดจีนและเอา knowhow รวมทั้ง connection ทั้งหลายไปลงที่เมืองจีนและช่วยให้วงการ startup จีนนั้นพัฒนาขึ้นมาเร็วมากๆ
5. ศักยภาพในการขยายขนาดอย่างรวดเร็ว (Rapid scaling ) หลายๆคนคิดว่า Silicon Valley นั้นเร็วแล้วแต่ ปักกิ่งกลับเร็วกว่าด้วยตลาดจีนที่มีขนาดมหึมารวมทั้ง วิธีการ scaling ของผู้ประกอบการจีน ไม่ต้องพูดถึง work ethics หรือการทำงานหนัก ที่ Silicon Valley นั้นชั่วโมงทำงานปกติของ Startup นั่นว่าโหดแล้วแต่ที่จีนนั้นเรียกว่า 9/9/6 ขั้นต่ำ คือ 9 am ถึง 9 pm และทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ส่วน ทีมผู้ก่อตั้งนั้นยิ่งโหดกว่าคือจะเป็น 9/11/6.5 คือ ขั้นต่ำ 9 am - 11 pm และ 6.5 วันต่อสัปดาห์ Hugo Berra อดีต VP ของ Android ที่ไปอยู่กับ Xiaomi นั้นมีประชุมถึงเที่ยงคืนก่อนที่จะต้องบินตอน 6 โมงเช้าของอีกวัน ส่วน startup ที่กำลัง launch product นั้นก็จะขังตัวเองกับทีมไว้ไม่ออกไปไหนจนกว่า product จะเสร็จและ launch ออกไปไม่มีปัญหา ตอนผมไป private conference ที่ Chong Qing ก็เจอ entrepreneur คนนึงที่ทำ HR outsourcing platform ที่ scale จากพนักงาน 300 คนเป็น 3,000 คนในปีเดียวโดยที่ตัวยอดขายและกำไร โต 15 / 20 เท่าใน 1 ปี ซึ่งเรียกว่าโหดมากๆครับ เรื่องของการ hustling และ be aggressive and competitive นั้นผู้ประกอบการจีนเรียกได้ว่าไม่แพ้ใครในโลกจริงๆครับ และรวมทั้งการแข่งขันที่โหดมากๆในเมืองจีน แบบที่ว่าบางตลาดนั้นคุณไม่ได้คู่แข่งเป็นร้อยรายแต่เป็นพันๆรายทำให้ ผู้ที่อยู่รอดและเติบโตได้นั้นแข็งแกร่งมากๆ
6. มุมมองที่ว่าจีนนั้นลอกเลียนแบบอย่างเดียวนั้นไม่จริงแล้วเพราะ entrepreneur จีนนั้นเป็นพวกที่ practical มากๆ และรู้ว่าการ cloning อย่างเดียวนั้นไม่ work แล้วต้องมี innovation ด้วย เพราะเค้ารู้ว่าวิธีการที่เร็วที่สุดที่จะเป็นผู้ชนะอย่างยั่งยืนนั้นไม่ใช่ cloning แต่คือ innovation DJI ของจีนนั้น มี maketshare กว่า 70% ในตลาด Drone ทั่วโลก , computer ราคาแค่ 300 กว่า บาท based on Linux ก็มาจากเมืองจีน และ innovation อื่นๆที่กำลังจะออกจากจีนมาตีตลาดโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
7. แต่ startup จีนนั้น ก็ยัง focus อยู่แต่ในตลาดจีน ณปัจจุบันเพราะแค่ตลาดจีนนั้นก็มหาศาลแล้วครับ แต่ wave หน้าผมเชื่อว่า startup จีนจะเริ่มรุกคืบมา SEA และไทยในอนาคตอันไกล้ด้วยศักยภาพของ SEA และ ด้วยการรุกคืบเข้ามาของรุ่นพี่อย่าง Alibaba ทำให้ startup ไทยและ SEA มีเวลาอีกไม่กี่ปีที่จะต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งและมี scale ที่ใหญ่พอที่จะสู้กับ ผู้เล่นระดับโคตรโหดเหล่านี้ได้ไม่ต้องพูดถึง คู่แข่ง local หรือจากประเทศอื่นๆที่ปกติก็เข้ามาในไทยหรือ SEA อยู่แล้ว ข้อดีคือจะมี เงินทุนที่ไหลมาจากจีนเข้ามาในภูมิภาคนี้เยอะขึ้นมาก แต่การแข่งขันก็น่าจะโหดขึ้นมากในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และผมคิดว่าเรามีเวลาอีกไม่มากนักที่จะสร้างฐานธุรกิจใหม่ให้แข่งขันได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าในขณะที่จีนยังไม่ลงมาลุยในไทย / SEA มากนักครับ...ไม่บอกว่า ผมคือใคร สงสัยเหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น