** ธรรมภาษิตสอนใจ **
คนปัจจุบัน จะมีลักษณะหัวโตสมองใหญ่ แต่ใจเล็กใจแคบ เราพัฒนาแต่เรื่องการใช้ความคิด จนคิดเก่ง แต่กลับหยุดคิดไม่ได้ สุดท้ายความคิดกลายมาเป็นนายเรา บงการเรา และเล่นงานเรา จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ บางครั้งถึงกับขาดสติคลุ้มคลั่ง วิกลจริตจนเป็นบ้าก็มี ส่วนมากมักจะเป็นกับคนที่จมไม่ลง ยอมรับและปรับสภาพไม่ได้กับชีวิตของตนเอง เช่น คนเคยรวย มียศฐาบรรดาศักดิ์ พอหมดวาสนาบารมี เปรียบแล้วเหมือนแมวหง่าว (แมวแก่) ทำใจไม่ได้ถึงกับฆ่าตัวตายก็มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เพราะชีวิตขาดสมดุลระหว่างหัวใจกับสมอง และห่างไกลธรรมะเวลามีปัญหาไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
บางครั้งการลืมมองดูใจของตนเอง จึงเป็นเหตุให้ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะใจของตนเอง มากกว่าเป็นเพราะคนอื่น เช่น เวลาที่เราโกรธหรือโมโหเมื่อได้ยินคำตำหนิของคนอื่นเพราะใจของเราเปิดช่องให้คำตำหนินั้นเข้ามาทิ่มแทงเราต่างหาก ถ้าใจเราไม่ยึดมั่นถือมั่นกับคำพูดเหล่านั้นเราก็ไม่ทุกข์ ไม่โมโห ไม่โกรธ ไม่ต้องเก็บมาเป็นอารมณ์ เปรียบเหมือนกับคนที่มีเศษแก้วอยู่ในมือ ก็คือรู้ทั้งรู้ว่าเศษแก้วมันคม แต่แทนที่จะพลิกมือเพื่อให้เศษแก้วตกลงบนพื้น กลับกำมันไว้แถมยังบีบแรง ๆ เข้าไปอีก ผลก็คือ เศษแก้วบาดมือจนเป็นแผลแล้วจะไปโทษใคร
ดังนั้น คำตำหนิหรือคำด่าก็เหมือนกับเศษแก้วที่อยู่ในมือ ถ้าเราปล่อยมันทิ้งไปเศษแก้วก็ทำร้ายเราไม่ได้ นั่นคือเราไม่ไปทำอะไรมัน มันก็ไม่ทำอะไรกับเรา เราก็ไม่ต้องเจ็บมือ เท่ากับว่าเราได้ปล่อยวางมันทิ้งไปแล้ว ใจก็สบาย กายก็สบาย.
มูลนิธิพุทธปรัชญา พุทธปรัชญา(อ.อุ้ม)
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ธรรมมะสอนใจ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น