ที่เรียกว่า ธรรมกถึก ธรรมกถึก ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ จึงจะชื่อว่าธรรมกถึก ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความหน่าย เพื่อ
ความคลายกำหนัด เพื่อความดับชราและมรณะ ควรจะกล่าวว่าภิกษุธรรมกถึก
ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับชราและมรณะ ควรจะกล่าวว่า ภิกษุปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัดเพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นชราและมรณะ ควรจะกล่าวว่า ภิกษุบรรลุนิพพานในปัจจุบัน
ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับชาติ ...ภพ ... อุปาทาน ...ตัณหา ... เวทนา ... ผัสสะ ... สฬายตนะ ... นามรูป ...วิญญาณ ... สังขาร ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุธรรมกถึก
ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัดเพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุบรรลุนิพพานในปัจจุบัน ฯ
“ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ? ดังนี้ ต่างหาก.ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่ ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ, ดังนี้”
- สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องทำพื้นฐานราก ในเบื้องล่างของเรือนดอก แต่ฉันจักทำตัวเรือนข้างบนได้” ดังนี้
นี่ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้ฉันใด ข้อนี้ก็ไม่เป็นฐานะที่จักมีได้ ฉันนั้น
คือข้อที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องรู้จักความจริงอันประเสริฐ
คือ ความจริงเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับไม่เหลือของทุกข์
และเรื่องทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์นั้นดอก แต่ฉันจักทำความ สิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ โดยถูกต้อง ” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! และเปรียบเหมือนผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า
“ฉันต้องทำฐาน-รากของ เรือน ตอนล่างเสียก่อน จึงจักทำตัวเรือนข้างบนได้” ดังนี้
นี่เป็นฐานะที่จักมีได้ ฉันใด ข้อนี้ก็เป็นฐานะที่จักมีได้ ฉันนั้น
คือข้อที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงกล่าวว่า
“ฉันครั้นรู้ความจริงอันประเสริฐ คือความจริงเรื่องทุกข์, เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับไม่เหลือของทุกข์ และเรื่องทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ นั้นแล้ว จึงจักทำความสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ โดยถูกต้อง” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า
“นี้เป็นทุกข์ นี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์ และนี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์” ดังนี้เถิด.
มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๖๔/๑๗๓๕-๖.
นิพพานธาตุ
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ที่พระองค์ทรงเรียกอยู่ว่า ‘ธรรมเป็นที่กำจัดราคะเป็นที่กำจัดโทสะเป็นที่กำจัดโมหะ’ ดังนี้ คำว่า ‘ธรรมเป็นที่กำจัดราคะ, เป็นที่กำจัดโทสะ เป็นที่กำจัดโมหะ’ นี้ เป็นคำที่ใช้เรียกแทนชื่อของอะไรเล่า ? พระเจ้าข้า !”
ภิกษุ ท. ! คำว่า “ธรรมเป็นที่กำจัดราคะ (ราควินโย) เป็นที่กำจัดโทสะ เป็นที่กำจัดโมหะ” นี้ เป็นคำที่ใช้เรียกแทนชื่อของ นิพพานธาตุ เรียกว่าเป็นธรรมที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แล.
445
ลักษณะแห่งนิพพานธาตุสองชนิด
ภิกษุ ท. ! นิพพานธาตุมี ๒ อย่าง, สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่างคือ สอุปาทิเสส นิพพานธาตุ และ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ภิกษุ ท. ! สังขตธรรมก็ดี อสังขตธรรมก็ดี มีประมาณเท่าใด วิราคธรรม เรากล่าวว่า เป็นยอด ของสังขตธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้นทั้งหมด
วิราคธรรมนั้นได้แก่ ธรรมอันเป็นที่สร่างแห่งความเมา เป็นที่ขจัดความกระหาย เป็นที่ถอน ความ อาลัย, เป็นที่ตัดวัฏฏะ (วน) เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่คลายความกำหนัด เป็นที่ดับกิเลส นี่แลคือ นิพพาน.
เพราะหลุดพ้นแล้ว จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึง
ไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ความเป็นพรหมและเป็นพรหมมัญญผล
[๑๐๕]
สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงพรหมัญญะ (ความเป็นพรหม) และพรหมัญญผล (ผลแห่งความเป็นพรหม) แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังเรื่องนั้น.
[๑๐๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พรหมัญญะเป็นไฉน ? อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘นี้แล คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจชอบ นี้เรียกว่า พรหมัญญะ.
[๑๐๗]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พรหมัญญผลเป็นไฉน ? คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล นี้เรียกว่า พรหมัญญผล.
จบ สูตรที่ ๗
408
พรหมัญญสูตรที่ ๒ (หน้า 61)
ความเป็นพรหมและประโยชน์แห่งความเป็นพรหม
[๑๐๘]
สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงพรหมัญญะ และประโยชน์แห่ง พรหมัญญะ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้น.
[๑๐๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พรหมัญญะเป็นไฉน ? อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แลคือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจชอบ นี้เรียกว่า พรหมัญญะ.
[๑๑๐]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ประโยชน์แห่งพรหมัญญะเป็นไฉน ? ความสิ้นราคะความสิ้น โทสะ ความสิ้น โมหะ นี้เรียกว่า ประโยชน์แห่งพรหมัญญะ.
จบ สูตรที่ ๘
ภิกษุ ท.!
เราแล เป็นผู้ฉลาดในเรื่องโลกนี้
ฉลาดในเรื่อง โลกอื่น,
เป็นผู้ฉลาดต่อ วัฏฏะ อันเป็นที่อยู่ของมาร
ฉลาดต่อ วิวัฏฏะ อันไม่เป็นที่อยู่ของมาร,
เป็นผู้ฉลาดต่อ วัฏฏะ อันเป็นที่อยู่ของมฤตยู
ฉลาดต่อ วิวัฏฏะ อันไม่เป็นที่อยู่ของมฤตยู.
ชนเหล่าใดถือว่า เรื่องนี้ควรฟัง ควรเชื่อ
ข้อนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุข แก่ชนทั้งหลายเหล่านั้น สิ้นกาลนาน.
ทั้งโลกนี้แลโลกอื่น ตถาคตผู้ทราบดีอยู่ ได้ประกาศไว้ ชัดแจ้งแล้ว.
ทั้งที่ที่มารไปไม่ถึง และที่ที่มฤตยูไปไม่ถึง ตถาคตผู้รู้ชัด เข้าใจชัด ได้ประกาศไว้ชัดแจ้งแล้ว เพราะความรู้โลกทั้งปวง.
ประตูแห่งความไม่ตาย ตถาคตเปิดโล่งไว้แล้ว เพื่อสัตว์ทั้งหลาย เข้าถึงถิ่นอันเกษม.
กระแสแห่งมารผู้มีบาป ตถาคตปิดกั้นเสียแล้ว กำจัดเสียแล้ว ทำให้หมดพิษสงแล้ว.
ภิกษุ ท.! เธอทั้งหลายจงเป็น ผู้มากมูนด้วยปราโมทย์ ปรารถนาธรรม อันเกษมจากโยคะเถิด.
- บาลี จูฬโคปาลสูตร มู.ม ๑๒/๔๒๑/๓๙๑.
[ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้เมืองอุกกเวลา] ปฏิจจสมุปบาท คืออริยญายธรรม
(สิ่งที่ควรรู้อันประเสริฐ)๔
...เพราะหลุดพ้นแล้ว จึงดำรงอยู่
เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีร่าเริงด้วยดี
เพราะยินดีร่าเริงด้วยดี จึงไม่หวาดสะดุ้ง
เมื่อไม่หวาดสะดุ้ง
ย่อม ปรินิพพาน เฉพาะตนนั่นเทียว...
ภิกษุทั้งหลาย
ข้ออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว
ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้วแลอยู่.
ภิกษุทั้งหลาย
บุคคลนี้ ชื่อว่า มีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.
ภิกษุทั้งหลาย
ข้ออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า
“นี้ ทุกข์,
นี้ ทุกขสมุทัย,
นี้ ทุกขนิโรธ,
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย
บุคคลนี้ ชื่อว่า มีอุปการะมากต่อบุคคลนี้
( บาลี ติก. อํ. ๒๐/๑๕๕/๔๖๓. )
ภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน �ภิกษุในธรรมวินัยนี้ �เป็นพระอรหันตขีณาสพ�อยู่จบพรหมจรรย์ *�ทำกิจที่ควรทำ เสร็จแล้ว �ปลงภาระลงได้แล้ว �มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว �มีสังโยชน์ในภพนี้ สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ��ภิกษุนั้นย่อมเสวยอารมณ์ ทั้งที่ พึงใจ และ ไม่พึงใจ (เสวยเวทนา) ยังเสวยสุข และ ทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใด เป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอ ยังตั้งอยู่นั่นเทียว��ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต หน้าที่ ๑๙๒
กายคตาสติ อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความแตกฉานแห่งปัญญา ย่อมเป็นไปเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน
กายคตาสติ อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว ย่อมมีการแทงตลอดธาตุมากหลาย ย่อมมีการแทงตลอดธาตุต่างๆ ย่อมมีความแตกฉานในธาตุมากหลาย
กายคตาสติ อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว � -ย่อมเป็นไปเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง � -ย่อมเป็นไปเพื่อทำสกทาคามิผลให้แจ้ง � -ย่อมเป็นไปเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง � -ย่อมเป็นไปเพื่อทำอรหัตผล
กายคตาสติ อันบุคคลเจริญกระทำให้มากแล้ว � - ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งปัญญา � - ย่อมเป็นไปเพื่อความไพบูลย์แห่งปัญญา � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาใหญ่ � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไพบูลย์� - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาสามารถยิ่ง � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มากด้วยปัญญา � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาว่องไว � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเร็ว � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาร่าเริง � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาแล่น � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาคม � - ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส
อริยสัมมาสมาธิมีบริขารเจ็ด
ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดง อริยสัมมาสมาธิที่มีที่ตั้งอาศัย ที่มีบริขาร. เธอจงฟังซึ่งธรรมนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าว.
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสัมมาสมาธิที่มีที่ตั้งอาศัย ที่มีบริขาร เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย ! องค์แห่งมรรคเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เหล่าใด อันเป็นองค์ ๗ ประการ ที่แวดล้อมเอกัคคตาจิตอยู่; เอกัคคตาจิตชนิดนี้ เราเรียกว่า เป็นอริยสัมมาสมาธิที่มีที่ตั้งอาศัย ดังนี้บ้าง ที่มีบริขาร ดังนี้บ้าง.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย หน้า ๑๒๘๖ - ๑๒๙๗
(ภาษาไทย) อุปริ. ม. ๑๔/๑๔๕/๒๕๒ - ๒๕๓
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
(มหาสุญญตสุตต อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖.) พุทธวัจน์
“ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ? ดังนี้ ต่างหาก.ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้นมีอยู่ ใน “สิ่ง”นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ, ดังนี้”
- สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
อย่าเลย วักกลิ ! ประโยชน์อะไร ด้วยการเห็นกายเน่านี้. ดูก่อนวักกลิ ! ผู้ใดเห็นธรรม, ผู้นั้นเห็นเรา; ผู้ใดเห็นเรา, ผู้นั้นเห็นธรรม. ดูก่อนวักกลิ ! เพราะว่าเมื่อเห็นธรรมอยู่ ก็คือเห็นเรา; เมื่อเห็นเราอยู่ ก็คือเห็นธรรม...…๒
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! แม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิ เดินตามรอยเท้าเราไปข้างหลังๆ, แต่ถ้าเธอนั้นมากไปด้วยอภิชฌา มีกามราคะกล้า มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจเป็นไปในทางประทุษร้าย มีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่เป็นสมาธิ แกว่งไปแกว่งมา ไม่สำรวมอินทรีย์ แล้วไซร้; ภิกษุนั้น ชื่อว่าอยู่ไกลจากเรา แม้เราก็อยู่ไกลจากภิกษุนั้น โดยแท้. เพราะเหตุไรเล่า ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะว่าภิกษุนั้น ไม่เห็นธรรม : เมื่อไม่เห็นธรรมก็ชื่อว่าไม่เห็นเรา (ธมฺมํ หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ น ปสฺสติ : ธมฺมํ อปสฺสนฺโต มํ น ปสฺสติ)... [แล้วได้ตรัสไว้ โดยนัยตรงกันข้ามจากภิกษุนี้คือตรัสเป็นปฏิปักขนัย โดยนัยว่า แม้จะอยู่ห่างกันร้อยโยชน์ ถ้ามีธรรม เห็นธรรม ก็ชื่อว่า เห็นพระองค์ (ธมฺมํ หิ โส ภิกฺขเว ภิกฺขุ ปสฺสติ: ธมฺมํ ปสฺสนฺโต มํ ปสฺสติ)].๓
๒. วักกลิสูตร เถรวรรค มัชฌิมปัณณาสก์ ขนฺธ. สํ.๑๗/๑๔๖-๗/๒๑๖, ตรัสแก่พระวักกลิ ที่กุมภการนิเวสน์.
ภิกษุทั้งหลาย ! หนทางมีอยู่ ปฏิปทามีอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อเลิกละ ก้าวล่วงเสีย ซึ่งภัยทั้งที่เป็นสมาตาปุตติกภัย และ อมาตาปุตติกภัย อย่างละสามๆ เหล่านั้น.
ภิกษุทั้งหลาย ! หนทางหรือปฏิปทานั้น เป็น อย่างไรเล่า ? นั่นคือ อริยอัฏฐังคิกมรรค (อริยมรรคมีองค์ ๘) นั่นเอง ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ)
สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (ทำการงานชอบ)
สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) สัมมาวายามะ (เพียรชอบ)
สัมมาสติ (ระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ).
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แหละหนทาง นี้แหละปฏิปทา เป็นไปเพื่อเลิกละ ก้าวล่วงเสีย ซึ่งภัยทั้งที่เป็นสมาตาปุตติกภัย และอมาตาปุตติกภัย อย่างละสามๆเหล่านั้น.
�หน้า 2
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด เบื่อแล้ว อมตะ ชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเบื่อแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติ อันชนเหล่าใดชอบใจแล้ว อมตะ ชื่อว่าอันชนเหล่านั้นชอบใจแล้วฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใด ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าประมาทอมตะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใด ไม่ประมาทกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่ประมาทอมตะฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด หลงลืมอมตะ ชื่อว่าอันชนเหล่านั้นหลงลืม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่หลงลืมอมตะ ชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่หลงลืมฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่ซ่องเสพแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ซ่องเสพแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ซ่องเสพแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นซ่องเสพแล้ว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่เจริญแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่เจริญแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด เจริญแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นเจริญแล้วฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่ทำให้มากแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ทำให้มากแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ทำให้มากแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นทำให้มากแล้ว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งอมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่กำหนดรู้แล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่กำหนดรู้แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด กำหนดรู้แล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นกำหนดรู้แล้ว ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ไม่ทำให้แจ้งแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นไม่ทำให้แจ้งแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันชนเหล่าใด ทำให้แจ้งแล้ว อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นทำให้แจ้งแล้ว
การเห็นปฏิจจสมุปบาท ชื่อว่าการเห็นธรรม
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย !... ก็แล คำ นี้ เป็นคำ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท, ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม; ผู้ใดเห็นธรรม, ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท”, ดังนี้.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม (ธรรมอาศัยซึ่งกันและกันเกิดขึ้น); กล่าวคือ ปัญจุปาทานขันธ์ทั้งหลาย.
ธรรมใด เป็นความพอใจ (ฉนฺโท) เป็นความอาลัย (อาลโย) เป็นความ ติดตาม (อนุนโย) เป็นความสยบมัวเมา (อชฺโฌสานํ) ในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เหล่านี้, ธรรมนั้น ชื่อว่า เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ (ทุกฺขสมุทโย).
ธรรมใด เป็นความนำออกซึ่งฉันราคะ (ฉนฺทราควินโย) เป็นความละขาด ซึ่งฉันทราคะ (ฉนฺทราคปฺปหานํ) ในอุปาทานขันธ์ทั้งหลาย ๕ ประการ เหล่านี้, ธรรมนั้น ชื่อว่า ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ (ทุกฺขนิโรโธ).
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ! ด้วยการปฏิบัติมีประมาณเพียงเท่านี้แลคำสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ภิกษุประพฤติกระทำให้มากแล้วดังนี้.
________________________________
- มหาหัตถิปโทปมสูตร มู.ม. ๑๒/๓๕๙, ๓๖๐/๓๔๖,
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์,
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.
(ปณฑิตวคฺค ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖.)
อานนท์ ! ก็กัลยาณวัตรอันเราตั้งไว้ในกาลนี้ ย่อมเป็นไป เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.
อานนท์ ! กัลยาณวัตรนี้ เป็นอย่างไรเล่า ? นี้คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวคือ :-สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
อานนท์ ! เกี่ยวกับกัลยาณวัตรนั้น เราขอกล่าวกะเธอ โดยประการที่เธอทั้งหลาย จะพากันประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ : เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย.
อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้มีในยุคแห่งบุรุษใด; บุรุษนั้นชื่อว่าบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย.
อานนท์ ! เกี่ยวกับกัลยาณวัตรนั้น เราขอกล่าว (ย้ำ) กับเธอ โดยประการที่เธอทั้งหลายจะพากันประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ : เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย.
-บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.
ญาณในตถาคตพลญาณ มีได้เฉพาะแก่ผู้มีจิตตั้งมั่น เป็นสมาธิ
ภิกษุ ท. ! ในบรรดา ตถาคต พลญาน ๖ ประการเหล่านั้น
เรากล่าว ยถาภูตญาณ ในสิ่งซึ่งเป็นฐานะ โดยความเป็นฐานะ และในสิ่งซึ่ง เป็นอฐานะ โดยความเป็นอฐานะ ว่าญาณนั้น มีได้สำหรับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ใช่สำหรับผู้มี จิตไม่ตั้งมั่น.
เรากล่าว ยถาภูตญาณ ในสิ่งซึ่งเป็นวิบาก โดยฐานะโดยเหตุ ของกัมม สมาทาน อันเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันว่า ญาณนั้น มีได้สำหรับ ผู้มีจิตตั้งมั่นเป็น สมาธิ ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น.
เรากล่าว ยถาภูตญาณ ในความเศร้าหมอง ความผ่องแผ้ว ความออกแห่ง ฌาน วิโมกข์ สมาธิ และสมาบัติ ว่าญาณนั้น มีได้สำหรับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น.
เรากล่าว ยถาภูตญาณ ในปุพเพนิวาสานุสสติ ว่าญาณนั้น มีได้สำหรับผู้มีจิต ตั้งมั่น เป็นสมาธิ ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น.
เรากล่าว ยถาภูตญาณ ในการจุติ และอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ว่าญาณนั้น มีได้สำหรับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น.
เรากล่าว ยถาภูตญาณ ในความสิ้นไป แห่งอาสวะทั้งหลาย ว่าญาณนั้น มีได้สำหรับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่ใช่สำหรับผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น.
ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้แล สมาธิเป็นมรรค (แท้) อสมาธิเป็นมรรคลวง
- ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๖๙/๓๓๕.
ร่วมจาคะได้ที่ ธ.ไทยพาณิชย์ วัดนาป่าพง
318-2-46175-6
วัจฉะ ! เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้นสำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ (สอุปาทานสฺส)
ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน
วัจฉะ ! เปรียบเหมือน ไฟที่มีเชื้อ ย่อมโพลงขึ้นได้ (อคฺคิ สอุปาทาโน ชลติ) ที่ไม่มีเชื้อ ก็โพลงขึ้นไม่ได้อุปมานี้ฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น�วัจฉะ ! เราย่อมบัญญัติความบังเกิดขึ้นสำหรับสัตว์ผู้ที่ยังมีอุปาทานอยู่ไม่ใช่สำหรับสัตว์ผู้ที่ไม่มีอุปาทาน
“พระโคดมผู้เจริญ !
ถ้าสมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกล,
สมัยนั้น พระโคดมย่อมบัญญัติซึ่งอะไรว่าเป็นเชื้อแก่เปลวไฟนั้น ถ้าถือว่ามันยังมีเชื้ออยู่ ?”
วัจฉะ ! สมัยใด เปลวไฟ ถูกลมพัดหลุดปลิวไปไกลเราย่อมบัญญัติเปลวไฟนั้น ว่ามีลมนั่นแหละเป็นเชื้อ
วัจฉะ ! เพราะว่า สมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของเปลวไฟนั้น.
“พระโคดมผู้เจริญ !
ถ้าสมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น,
สมัยนั้น พระโคดมย่อมบัญญัติซึ่งอะไร ว่าเป็นเชื้อแก่สัตว์นั้น ถ้าถือว่ามันยังมีเชื้ออยู่ ?”
วัจฉะ ! สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ และยังไม่บังเกิดขึ้นด้วยกายอื่น
เรากล่าว สัตว์นี้ ว่า มีตัณหานั่นแหละเป็นเชื้อ
เพราะว่า สมัยนั้น ตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น แล.
พุทธวจน ฉบับ ๘ อินทรียสังวร (ตามดู ! ไม่ตามไป...) ข้อ ๑๐ หน้า ๓๗
พุทธวจน ภพภูมิ หน้า ๒๕.
(ไทย) สฬา. สํ. ๑๘/๓๙๘/๘๐๐.
(บาลี) สฬา. สํ. ๑๘/๔๘๕/๘๐๐
ปฏิจจสมุปบาท คืออริยญายธรรม
(สิ่งที่ควรรู้อันประเสริฐ)๔
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็อริยญายธรรม เป็นสิ่งที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกในกรณีนี้ ย่อมกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย๑ เป็นอย่างดี ซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั่นเทียว ดังนี้ว่า “ด้วยอาการอย่างนี้ : เมื่อสิ่งนี้มี, สิ่งนี้ย่อมมี; เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เมื่อสิ่งนี้ไม่มี, สิ่งนี้ย่อมไม่มี; เพราะความดับไปของสิ่งนี้, สิ่งนี้จึงดับไป, สิ่งนี้จึงดับไป : ข้อนี้ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ :-
เพราะมีอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย;
เพราะมีสังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ;
เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป;
เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ;
เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ;
เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา;
เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา;
เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน;
เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ;
เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ;
เพราะมีชาติ เป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้. ... ... (ต่อไปได้ตรัสปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวารไปจนจบ)”.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อริยญายธรรมนี้แล เป็นสิ่งที่อริยสาวกเห็นแล้วด้วยดี แทงตลอดแล้วด้วยดี ด้วยปัญญา.
สูตรที่ ๒ แห่งอุปสกวรรค ทสก. อํ. ๒๔/๑๙๗/๙๒
-------------------
-----------------------
ภิกษุ ท.! แต่ว่า ในกาลใดแล ตถาคตผู้อรหันต สัมมาสัมพุทธะ บังเกิดขึ้นโลก �ในกาลนั้น ความปรากฏแห่งแสงสว่าง อันใหญ่หลวง ย่อมมี.
ในกาลนั้น ย่อมไม่มีความมืด อันเป็นความมืดซึ่ง กระทำความบอด. �ลำดับนั้น ย่อมมีการบอก การแสดง การบัญญัติ การแต่งตั้ง การเปิดเผย �การจำแนกแจกแจง การกระทำให้เข้าใจได้ง่าย ซึ่งอริยสัจทั้งสี่. ซึ่งอริยสัจทั้งสี่อย่างไรเล่า ? คือซึ่งทุกขอริยสัจ ทุกขสมุทยอริยสัจ�ทุกขนิโรธอริยสัจ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
ภิกษุ ท.! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง กระทำโยคกรรม เพื่อให้รู้ว่า "นี้ ทุกข์ นี้ ทุกขสมุทัย นี้ ทุกขนิโรธ นี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" ดังนี้เถิด.
- มหาวาร. ส์. ๑๙/๕๕๓/๑๗๒๑.
ราชกุมาร ! ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันไม่จริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และไม่เป็นที่รักที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อม ไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์และไม่เป็น ที่รัก ที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่รัก ที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมเลือกให้เหมาะกาล เพื่อกล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่เป็นที่รัก ที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ แต่ไม่ประกอบ ด้วยประโยชน์ แต่ก็เป็นที่รัก ที่พึงใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมไม่กล่าววาจานั้น.
ตถาคตรู้ชัดซึ่งวาจาใด อันจริง อันแท้ ประกอบด้วยประโยชน์และเป็นที่รัก ที่พึง ใจของผู้อื่น ตถาคตย่อมเป็นผู้ รู้จักกาละที่เหมาะเพื่อกล่าววาจานั้น.
ม. ม. ๑๓/๙๑/๙๔.
เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ! ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ ประการ หาได้ยากในโลก.
๕ ประการ อย่างไรเล่า ? คือ :-
(๑) ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
(๒) บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
(๓) บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันผู้อื่นแสดงแล้ว
(๔) บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันผู้อื่นแสดงแล้ว ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
(๕) กตัญญูกตเวทีบุคคล
เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ! ความปรากฏขึ้นแห่งรัตนะ ๕ ประการนี้แล หาได้ยากในโลก.
ดูกรพราหมณ์ พระตถาคตเป็นเพียงผู้บอกหนทาง พระ พุทธเจ้าย่อมบอกหนทาง สัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิบัติอยู่ด้วยตนเอง จึงจะพึงหลุดพ้นได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้นแม้ด้วยประการอย่างนี้. เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า สัตว์เหล่านั้นเป็นผู้หลุดพ้นได้ยาก และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้น.
ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง
ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ความคุ้นเคยกัน เป็นญาติอย่างยิ่ง
นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง
อานนท์ ! ก็กัลยาณวัตรอันเราตั้งไว้ในกาลนี้ ย่อมเป็นไป เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อรู้พร้อม เพื่อนิพพาน.
อานนท์ ! กัลยาณวัตรนี้ เป็นอย่างไรเล่า ? นี้คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ กล่าวคือ :-สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
อานนท์ ! เกี่ยวกับกัลยาณวัตรนั้น เราขอกล่าวกะเธอ โดยประการที่เธอทั้งหลาย จะพากันประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ : เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย.
อานนท์ ! ความขาดสูญแห่งกัลยาณวัตรนี้มีในยุคแห่งบุรุษใด; บุรุษนั้นชื่อว่าบุรุษคนสุดท้ายแห่งบุรุษทั้งหลาย.
อานนท์ ! เกี่ยวกับกัลยาณวัตรนั้น เราขอกล่าว (ย้ำ) กับเธอ โดยประการที่เธอทั้งหลายจะพากันประพฤติตามกัลยาณวัตรที่เราตั้งไว้แล้วนี้ : เธอทั้งหลายอย่าเป็นบุรุษพวกสุดท้ายของเราเลย.
-บาลี ม. ม. ๑๓/๔๒๗/๔๖๓.
ง
๓
การตอบแทนคุณมารดาบิดาอย่างสูงสุด
ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง. ท่านทั้งสอง คือใคร ?
คือ มารดา ๑ บิดา ๑
ภิกษุทั้งหลาย ! บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงระคับประคองบิดา ด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้งสองนั้น ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ.
ภิกษุทั้งหลาย ! การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย.
ภิกษุทั้งหลาย ! อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตร ทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้?